โม้ อมตะ สมรักษ์ คำสิงห์ 24 ปีโอลิมปิก ฟื้นความทรงจำเหรียญทองแรก

สมรักษ์ คำสิงห์ โอลิมปิก

เมื่อ 24 ปีก่อน โอลิมปิก 1996 แอตแลนต้าเกมส์ ที่สหรัฐอเมริกา ไม่มีใครไม่รู้จัก สมรักษ์ คำสิงห์ นักชกมวยไทยคนแรกที่ปลดล็อคความสำเร็จเดียวที่คนไทยรอมาตลอด เป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้เหรียญทองโอลิมปิก ความสำเร็จในวันนั้น ทำให้เขาโด่งดังในชั่วข้ามคืน และเป็นโอลิมปิกที่อยู่ในความทรงจำของคนไทยมาตลอด จนถึงวันนี้ครบรอบ 24 ปี เรามาทบทวนความทรงจำในวันนั้นไปกับ สมรักษ์ คำสิงห์ กัน

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต

สมรักษ์ คำสิงห์ เริ่มต้นจากการเป็นนักมวยไทย ฝีมือแม่ไม้มวยไทยใครเห็นเป็นต้องอึ้ง ในยุคนั้นเขาเก่งจนไม่มีใครกล้าขึ้นชกด้วย เรียกได้ว่าตกงานเพราะความเก่งเกินไปของตัวเอง สมรักษ์ จึงตัดสินใจหันหน้าสู่วงการมวยสากล เชิงมวยของเขาโดดเด่นจนได้ต้องเรียกติดทีมชาติ

จากนักมวยค่าตัวเงินแสน หันมารับเบี้ยเลี้ยงวันละ 150 บาท ทำให้สมรักษ์ จึงแอบหนีแคมป์อยู่เป็นประจำ แต่เมื่อถึงเวลาชกมวยก็ไม่มีใครเอาเขาลง จนมีชื่อเป็นตัวแทนไปโอลิมปิกครั้งแรก 1994 ที่บาร์เซโลนา

“ตอนไปโอลิมปิกครั้งแรก ผมไปด้วยความหวัง แต่ว่าก็แพ้ครับ แพ้เจ้าภาพ คือการต่อยมันไม่แพ้หรอก แต่ว่าแพ้กรรมการ กรรมการเขาให้เราแพ้ ต่อยยังไงแต้มก็ไม่ขึ้น มันทำให้เรากลับมาทบทวนว่าถ้าเราต่อยแล้วคะแนนมันไม่ขึ้น กรรมการช่วยก็ต้องซ้อมให้หนักกว่าเดิม มุ่งมั่นให้หนักกว่าเดิม เพื่อต่อยให้ขาดไปเลย คือต่อยให้เขาโกงเราไม่ได้” สมรักษ์ เริ่มต้นเล่าย้อนความหลังให้เราฟัง

“พอผมผิดหวังครั้งแรกก็เป็นความรู้สึกที่เราไม่อยากเป็นอย่างนั้น เราไม่อยากเป็นผู้แพ้ เพราะการพ่ายแพ้แต่ละครั้ง มันไม่ใช่เราแพ้คนเดียว เพราะเราเป็นตัวแทนทีมชาติไทย แข่งขันในนามไทยแลนด์ แข่งขันในนามประเทศไทย เพราะฉะนั้นเวลาเราแพ้ เท่ากับว่าคนไทยทั้งประเทศก็แพ้ด้วย ผมเลยอยากชนะ พอเราชนะมันหมายถึงชัยชนะของคนทั้งประเทศ”

ชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของคนไทย

ความพ่ายแพ้ในวันนั้นที่สเปน สร้างบาดแผลในใจให้กับสมรักษ์มาตลอด เขารู้ผิดหวังที่คนไทยทั้งประเทศถูกปล้นชัยชนะ หลังจากนั้นเขาทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมอย่างที่บอก ระหว่างนั้นเขากวาดหมดทุกแชมป์ที่แข่งขัน ซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ เวลานั้นเขาพร้อมแล้วที่จะไปเอาชัยชนะให้กับคนไทยในโอลิมปิก 1996 ที่แอตแลนต้า

“กลับจากโอลิมปิกที่บาร์เซโลนา ผมแพ้กลับมาก็เป็นบทเรียนที่ไม่อยากจะแพ้ การมุ่งมั่น ฝึกซ้อม โอลิมปิกเกมส์ครั้ง 2 ผมไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเลยว่าต้องทำได้ เพราะว่าผมสมบูรณ์ทุกอย่าง ซ้อมดี มุ่งมั่นดี กำลังใจดี โดยเฉพาะในปีนั้นเป็นปีที่ฉลองครองราชย์ในหลวงรัชกาลที่ 9 สมาคมมวยสากลสมัครเล่น จึงย้ำนักชกทุกคนว่ ปีนี้ต้องเอาเหรียญทองมาถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ได้ ยิ่งทำให้เรามุ่งมั่นเป็นพิเศษ”

เมื่อเล่าถึงตรงนี้น้ำเสียงและแววตาของสมรักษ์ฟังดูหนักแน่นมากยิ่งขึ้น จนเราสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของเขาเมื่อ 24 ปีก่อน “คือจริง ๆ แล้ว ผมก็มั่นใจตั้งแต่ไปอยู่แล้วนะ คือผ่านรอบ 1 รอบ 2 รอบ 3 รอบตัดเชือก ทะลุเข้าชิง คือปกติก็จะมั่นใจอยู่แล้ว แต่ว่าพอเอาจริง ๆวันชิงฯคือนอนไม่หลับ ชั่งน้ำหนักเสร็จก็กระวนกระวายไปหมด ทางสมาคมฯก็ให้ผมอยู่คนเดียว ห้ามรบกวนเลย แต่ว่าก่อนจะออกไปแข่ง พออาบน้ำแต่งตัวเก็บของเสร็จ ผมก็ไปไหว้พระ ตอนนั้นก็สั่นครับ ขอพรพระ หิ้งพระห้องพระในที่พักนะครับ ก็ไหว้ไป มันก็สั่นไป แล้วผมหันไปเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 อยู่ตรงนั้นพอดี ผมไหว้เสร็จ ผมจับเลย ผมจับจากหิ้งพระไปเลย เดินออกจากหมู่บ้านนักกีฬา ขึ้นรถบัสนักกีฬาไปจนถึงสนามมวยไปจนถึงห้องพัก พอจับเข้าไปแล้วมันมีความรู้สึกอบอุ่นมาก ผมว่ามันเป็นพลังนะ เพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ถือว่าเป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งชาติ ซึ่งเรามีเป้าหมายที่จะเอาเหรียญทองไปถวายท่านอยู่แล้วนะครับ เดินออกจากห้องพัก ฝรั่งทักหมดเลยนะ The king The king ไหว้หมดเลย เราก็ยิ้มอย่างเดียว มันเลยกลายเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ครับ”

บนสงเวียนรอบชิงในวันนั้น คู่ชกเขา เซราฟิม โทโดรอฟจากบัลแกเรีย สมรักษ์ มาพร้อมความมุ่งมั่น ไม่ผลีผลาม ชนิดที่แฟนกีฬาที่ดูผ่านจอโทรทัศน์ นั่งตัวเกร็ง กัดเล็บ ลุ้นตามไปด้วย วินาทีที่กรรมการชูมือให้ สมรักษ์ เป็นฝ่ายชนะ

“คือตอนชก มันจะรู้คะแนนอยู่แล้ว ก็รู้สึกดีใจมากๆครับ ที่คว้าชัยชนะมาให้กับคนไทยได้แล้ว”

คำสอนของตำนานถึงนักมวยรุ่นน้อง

“ผมอยากฝากถึงน้อง ๆนักกีฬาทุกคนทุกประเภทเลยนะครับ การที่เราเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ ถือว่าเก่งแล้ว สุดยอดแล้ว เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนไปแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ด้วยความหวัง จะหวัง 100% 90% 99% หรือว่า 1% ต้องมีความหวัง เพราะว่าผมเคยไปงานนักกีฬาโอลิมปิก มีคนให้สัมภาษณ์ว่าไปโอลิมปิกครั้งนี้ไปหาประสบการณ์ ไม่มีความหวัง ซึ่งผมไม่อยากได้ยินคำนี้ ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนก็ไม่อยากได้ยินคำนี้ การที่เราเป็นตัวแทนของคนไทย คุณคัดติดทีมชาติ คัดติดโควตาโอลิมปิก ทุกคนไปจะต้องมีความหวังแน่นอน จะกี่% ทุกคนต้องมีความหวัง เพราะฉะนั้นถ้าไปแล้วไม่มีความหวัง มันเหมือนกับเราไปไม่สู้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็น วิ่ง ว่ายน้ำ มวย ทุกอย่างมีความหวังหมด ต่อให้ความหวังแค่ริบหรี่ คนไทยก็ยังเชียร์คุณ”

บทความจาก https://stadiumth.com/