ฟ้าหลังฝนของ “สิงห์เจ้าท่า” หลังจากแยกทางกับโค้ชโชค

การท่าเรือ เอฟซี

เชื่อว่าทุกคนต่างได้ติดตามข่าวดราม่าในวงการฟุตบอลบ้านเราอย่าง การปลด “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ ของ การท่าเรือ เอฟซี พร้อมกับประกาศดัน จเด็จ มีลาภ เข้ามารับเผือกร้อนนี้อีกครั้ง

แน่นอนว่ากระแสประเด็นนี้ย่อมร้อนฉ่าไปทั่วทุกองศา เพราะต่างฝ่ายต่างออกแอ็คชั่นกันทันควัน จนทำให้แฟนบอลบ้านเราถกถึงประเด็นร้อนนี้กันเป็นวงกว้าง กลายเป็นการปิดฉากที่ไม่ได้แฮปปี้เอ็นดิ้งตามแบบฉบับหนังไทยฟีลกู๊ดสักเท่าไหร่

ผมเองคงไม่พูดถึงประโยคคำพูดของทั้งสองฝ่าย เนื่องจากไม่ได้เข้าไปคลุกคลี หรือรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด หากแต่สิ่งที่ผมอยากจะมาแชร์ในวันนี้ก็คือ คำว่า “การท่าเรือ เอฟซี” ต่างหาก

ในความรู้สึกของคนที่ทำงาน และติดตามฟุตบอลไทยอย่างผม แน่นอน “สิงห์เจ้าท่า” คือตำนานที่ยังมีลมหายใจ

“สิงห์เจ้าท่า” เปรียบดั่งสถาบันใหญ่ ที่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สิ่งสำคัญที่ทุกคนสัมผัส และรับรู้ได้นั่นก็คือ พวกเขามี “แฟนบอล” ที่ “ทรงพลัง” และพร้อมจะอยู่เคียงข้าง ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับทีมอยู่เสมอ

เชื่อหรือไม่ว่า นี่ใช่ใช่ปัญหาครั้งแรกที่ “สิงห์เจ้าท่า” ต้องเผชิญ พวกเขาผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย น้ำตาจากความผิดหวัง การสูญเสียนับครั้งไม่ถ้วน

หากแต่สิ่งเดียวที่ทำให้ การท่าเรือ เอฟซี ยังคงเกรียงไกร และทรงพลังได้จนถึงวินาทีนี้นั่นก็คือ “ความศรัทธา” ของแฟนบอล

นั่นจึงทำให้ การท่าเรือ เอฟซี ฝ่าฝันอุปสรรค และลืมตาเปิดม่านมาดูท้องฟ้าหลังฟ้าฝนกระหน่ำได้อย่าง “มั่นคง” เสมอมา

ปัญหาที่เกิดขึ้น แน่นอนไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปได้ หากแต่สิ่งสำคัญที่พี่น้อง “สิงห์เจ้าท่า” ต้องทำนั่นก็คือ จับมือกันให้มั่น และก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้

สำหรับผม เรื่องนี้ไม่มีทั้งคนถูก และคนผิด ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดได้ตามที่ใจปรารถนา ตามข้อมูลที่ทุกคนได้รับ หากแต่ในใจที่เป็นกลาง เราอยากให้ “การท่าเรือ เอฟซี” และ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ ได้มูฟออนต่อไปตามเส้นทาง และเป้าหมายของตัวเอง

ในวันที่เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งเดียวที่จะช่วยปลดเปลื้องพันธนาการแห่งความโกรธแค้นไปได้ก็คือ “การให้อภัย” และผมเชื่อว่าแฟนบอลไทยจะเข้าใจทั้งสโมสรการท่าเรือ เอฟซี, โชคทวี พรหมรัตน์ รวมถึง จเด็จ มีลาภ ที่ถูกโยงมาสู่ปัญหาในครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลงานในสนาม และตารางจะเป็นเครื่องพิสูจน์การตัดสินใจ ฉะนั้นสิ่งเดียวที่เราจะทำได้ตอนนี้ก็คือ เฝ้ารอคอยให้ฟุตบอลไทยกลับมาแข่งขันได้อีกครั้ง และมาดูกันว่า “ฟ้าหลังฝน” ของการท่าเรือ นั้นจะออกมาเป็นเช่นไร

เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนเสมอครับ…

#แบกเป้ดูบอลไทย

ที่มาบทความ https://stadiumth.com/