
จาก : ผลบอลสด พรีเมียร์ลีก 2025 ระหว่าง เชลซี 3-1 ลิเวอร์พูล วันนี้ 4/5/68 – บ้านกีฬา
ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2024/25 คืนวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา เชลซี เปิดรังสแตมฟอร์ดบริดจ์ระเบิดฟอร์มสุดดุ ไล่ต้อน ลิเวอร์พูล ไปแบบสุดมัน 3-1 พร้อมทำให้ตารางคะแนนสั่นสะเทือนท่ามกลางการลุ้นท็อปโฟร์และแชมป์ลีกที่เข้มข้นเกินพิกัด โดยเกมนี้ บ้านกีฬา ขอสรุปผล บ้านผลบอล แบบละเอียดพร้อมวิเคราะห์แท็คติกและความเปลี่ยนแปลงหลังเกมชนิดเจาะลึก
เริ่มเกมแค่ 3 นาที “สิงห์บลูส์” ก็จุดระเบิดสนามทันทีเมื่อ เอ็นโซ่ เฟร์นันเดซ ตะบันบอลเข้าไปอย่างเฉียบขาดให้เจ้าถิ่นขึ้นนำ 1-0 อย่างรวดเร็ว เกมรุกของเชลซีคึกคักกว่าชัดเจน แม้ “หงส์แดง” จะครองบอลได้มากกว่าแต่ไม่เฉียบคมพอ ครึ่งแรกจึงจบด้วยสกอร์นี้
ครึ่งหลังยังคงเป็นเชลซีที่ไม่ผ่อนเกม และมาได้ประตูที่สองในนาที 56 จากจังหวะที่ จาเรลล์ ควานซ่าห์ แนวรับของลิเวอร์พูลสกัดบอลพลาดเข้าประตูตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เจ้าถิ่นหนีเป็น 2-0 แม้ว่าเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค จะโขกตีไข่แตกให้ลิเวอร์พูลในนาที 85 แต่ก็ไม่ทัน เพราะช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+6 โคล พาลเมอร์ กดจุดโทษฝังชัยให้เชลซีจบเกมด้วยชัยชนะ 3-1 คว้า 3 แต้มสำคัญสุด
รายชื่อนักเตะตัวจริงและการเปลี่ยนตัว
เชลซี (4-2-3-1)
- ผู้รักษาประตู: โรเบิร์ต ซานเชซ
- กองหลัง: มาร์ค กูกูเรญ่า, ลีวาย โคลวิลล์, เทรเวอร์ ชาโลบาห์, มอยเซส ไกเซโด้
- กองกลาง: โรเมโอ ลาเวีย, เอ็นโซ่ เฟร์นันเดซ (กัปตัน)
- ตัวรุก: มิไคโล มูดริก (ติดโทษแบน), โคล พาลเมอร์, นอนี่ มาดูเอเก้
- หน้าเป้า: นิโกลัส แจ็คสัน
ตัวสำรองที่ลงสนาม:
- เจดอน ซานโช (น.72), มาโล กุสโต (น.78), รีซ เจมส์ (น.88)
นักเตะโดดเด่น: โคล พาลเมอร์ (8.5), เอ็นโซ่ เฟร์นันเดซ (8.0), มอยเซส ไกเซโด้ (7.8)
ลิเวอร์พูล (4-2-3-1)
- ผู้รักษาประตู: อลิสซง
- กองหลัง: คอสตาส ซิมิกาส, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (กัปตัน), จาเรลล์ ควานซ่าห์, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
- กองกลาง: วาตารุ เอ็นโดะ, เคอร์ติส โจนส์
- ตัวรุก: ดิโอโก้ โชต้า, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์
- หน้าเป้า: โคดี้ กัคโป
ตัวสำรองที่ลงสนาม:
- คอเนอร์ แบรดลีย์ (น.57), ดาร์วิน นูนเญซ (น.58), อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ (น.69), โดมินิค โซบอสซ์ไล (น.69), เฟเดริโก้ เคียซ่า (น.82)
นักเตะโดดเด่น: เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (7.5), วาตารุ เอ็นโดะ (7.6), อลิสซง (7.5)
วิเคราะห์บอลการรุกและการรับ
เชลซีของเอ็นโซ่ มาเรสก้า มาในแผน 4-2-3-1 เน้นการเล่นบอลสั้นจากแดนหลัง บุกขึ้นอย่างมีระบบโดยใช้ปีกและมิดฟิลด์ตัวรุกเข้าทำให้ลิเวอร์พูลปั่นป่วนตลอดทั้งเกม ขณะที่เกมรับของสิงห์บลูส์ก็วางแนวรับลึกสองชั้นได้อย่างเหนียวแน่น โดยมีมอยเซส ไกเซโด้ คุมจังหวะกลางสนามได้ยอดเยี่ยม
ฝั่งลิเวอร์พูลของอาร์เน่ สลอต แม้จะใช้แผนเดียวกันคือ 4-2-3-1 แต่การเชื่อมเกมระหว่างแดนกลางกับแนวรุกดูขาดความแม่นยำ จังหวะการเพรสซิ่งสูงที่เป็นจุดเด่นของทีมกลับใช้ได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะแบ็คขวาอย่างอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ที่โดนบีบจนเสียบอลหลายครั้ง ทั้งนี้หาก วิเคราะห์บอล ตามรูปเกม เชลซีเล่นได้อย่างสมดุลทั้งเกมรุกและเกมรับ ขณะที่ลิเวอร์พูลแม้จะครองบอลเหนือกว่าแต่ขาดประสิทธิภาพในการจบสกอร์
สถิติการแข่งขัน
แม้ลิเวอร์พูลจะครองบอลไปถึง 65% และจ่ายบอลได้มากถึง 645 ครั้งด้วยความแม่นยำ 88% แต่ความเหนือชั้นนั้นกลับไม่สามารถเปลี่ยนเป็นผลการแข่งขันได้ ต่างจากเชลซีที่แม้ครองบอลเพียง 35% แต่เปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้อย่างเด็ดขาด โดยมีโอกาสยิงถึง 17 ครั้ง เข้ากรอบ 7 ขณะที่ลิเวอร์พูลยิงแค่ 11 ครั้งและตรงกรอบเพียง 2 ส่วนลูกเตะมุมเชลซีได้ 3 ครั้ง ลิเวอร์พูล 6 ครั้ง และทั้งสองทีมได้ใบเหลืองฝั่งละ 2 ใบ ไม่มีใบแดง
เหตุการณ์สำคัญในเกม
⚽ 3′ เชลซีขึ้นนำ 1-0 จาก เอ็นโซ่ เฟร์นันเดซ
🟨 51′ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (ลิเวอร์พูล) ทำฟาวล์
🟨 54′ เทรเวอร์ ชาโลบาห์ (เชลซี) ทำฟาวล์
⚽ 56′ เชลซีนำ 2-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ จาเรลล์ ควานซ่าห์
🔁 57′ ลิเวอร์พูลเปลี่ยนตัว: คอเนอร์ แบรดลีย์ แทน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
🔁 58′ ดาร์วิน นูนเญซ แทน ดิโอโก้ โชต้า
🔁 69′ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โดมินิค โซบอสซ์ไล ลงสนามแทน เอ็นโดะ กับ เอลเลียตต์
⚽ 85′ ลิเวอร์พูลไล่มา 2-1 จาก เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค
🔁 88′ เชลซีเปลี่ยนตัว: รีซ เจมส์ แทน เอ็นโซ่ เฟร์นันเดซ
⚽ 90+6′ เชลซีได้จุดโทษ โคล พาลเมอร์ ยิงไม่พลาดปิดเกม 3-1
🟨 84′ เจดอน ซานโช เสียเวลาในการเล่น
Player of the Match: โคล พาลเมอร์
ฟอร์มระดับเวิลด์คลาสจากแข้งวัยรุ่นอังกฤษที่รับบทตัวรุกเต็มตัวในเกมนี้ สร้างสรรค์เกมอย่างต่อเนื่อง ยิง 1 จ่าย 1 และควบคุมจังหวะเกมรุกของเชลซีได้อย่างยอดเยี่ยม ได้คะแนน 8.5 สูงสุดในเกม
สถานการณ์ในตารางคะแนน
ชัยชนะนัดนี้ส่งผลให้เชลซีขยับขึ้นมารั้งอันดับ 5 ร่วมกับนิวคาสเซิล มี 63 แต้มจาก 35 นัด มีลุ้นคว้าตั๋วยุโรปเต็มตัว ขณะที่ลิเวอร์พูลแม้ยังรั้งจ่าฝูงด้วย 82 แต้ม แต่การพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้พวกเขาเริ่มถูกอาร์เซน่อล (67 แต้ม) และแมนฯ ซิตี้ (64 แต้ม) ไล่จี้อย่างอันตราย บีบให้เกมที่เหลือห้ามพลาดอีกแม้แต่แต้มเดียว
การแข่งขันนัดถัดไป
โปรแกรม ตารางบอล นัดต่อไปของทั้งสองทีมยังเข้มข้นสุด ๆ โดยเชลซีมีศึกยุโรปยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ลีก กับยูร์การ์เดนในวันที่ 9 พฤษภาคม ก่อนจะไปเยือนนิวคาสเซิลในพรีเมียร์ลีกวันที่ 11 พฤษภาคม เวลา 18:00 น. ส่วนลิเวอร์พูลมีศึกใหญ่กับอาร์เซน่อลในวันเดียวกันเวลา 22:30 น. ที่แอนฟิลด์ หากยังอยากรักษาบัลลังก์ไว้ให้มั่นคง พวกเขาจำเป็นต้องคืนฟอร์มทันที
ติดตามผลการแข่งขันแบบเรียลไทม์ของทุกคู่ได้ที่ บ้านผลบอล ที่ บ้านกีฬา แล้วคุณจะไม่พลาดทุกจังหวะสำคัญของฟุตบอลระดับโลก