ในโลกฟุตบอลอาชีพ การเปลี่ยนผ่านจากนักเตะสู่ผู้จัดการทีมอาจเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางทั้งสองสายอย่างเท่าเทียม มีคำกล่าวเสมอว่า “นักเตะเก่ง ไม่ได้แปลว่าจะเป็นกุนซือเก่ง” และในทางกลับกัน ผู้จัดการทีมที่ขึ้นแท่นระดับโลกหลายคนกลับเคยมีเส้นทางค้าแข้งที่ไม่เปรี้ยงปร้างนัก บทความนี้จะพาไปเจาะลึกอดีตนักเตะทั้ง 6 ราย ที่ปัจจุบันกลายเป็นแม่ทัพของทีมในกลุ่ม บิ๊กซิกซ์พรีเมียร์ลีก พร้อมเทียบชัดว่าใครประสบความสำเร็จมากที่สุดในสมัยที่ยังเป็นพ่อค้าแข้ง โดยเฉพาะ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ยังคงยืนหนึ่งเหนือใคร และ รูเบน อโมริม ที่ชื่อเสียงสมัยเป็นนักเตะยังน่าจดจำมากกว่า อาร์เน่อ สล็อต
1. เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
ก่อนจะกลายเป็นหนึ่งใน ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรป เป๊ป เคยเป็นขุนพลคนสำคัญของ “ดรีมทีมบาร์เซโลน่า” ยุคต้นยุค 90 ภายใต้การคุมทีมของ โยฮัน ครัฟฟ์ ตำนานกุนซือชาวดัตช์ เขาคือมิดฟิลด์เชิงสูงที่คว้าแชมป์ ยูโรเปียน คัพ กับทีมในปี 1992 ซึ่งถือเป็นโทรฟี่ยูฟ่าใบแรกของสโมสร นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์ ลา ลีกา 6 สมัย, โกปา เดล เรย์, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และ สแปนิช ซูเปอร์คัพ อีกมากมาย โดย เป๊ป สวมปลอกแขนกัปตันทีมในปี 1997 และลงเล่นให้บาร์ซ่ากว่า 384 นัด ก่อนจะอำลาสโมสรในปี 2001 ถือเป็นหนึ่งในกุนซือที่มีโปรไฟล์นักเตะหรูหราที่สุดของยุคนี้
2. รูเบน อโมริม (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
แม้ชื่อเสียงในยุโรปอาจไม่เทียบเท่าเป๊ป แต่ อโมริม ก็เคยเป็นมิดฟิลด์ทีมชาติ โปรตุเกส ที่ประสบความสำเร็จกับ เบนฟิก้า โดยคว้าแชมป์ ปรีไมราลีกา 3 สมัย และยังมีถ้วยฟุตบอลถ้วยติดมือทั้งกับเบนฟิก้าและตอนย้ายไปเล่นแบบยืมตัวกับบราก้า เส้นทางค้าแข้งของเขาสิ้นสุดในปี 2017 ด้วยอาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าที่รุนแรง แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่พาเขาก้าวสู่เส้นทางการคุมทีมอย่างเต็มตัว และปัจจุบันเขากำลังก้าวเข้ามาท้าทายความยิ่งใหญ่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
3. เอ็นโซ่ มาเรสก้า (เชลซี)
อดีตกองกลางอิตาเลียนเริ่มต้นอาชีพกับ เวสต์บรอมวิช ก่อนจะได้โอกาสย้ายไปร่วมทัพ ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่จากกัลโช่ เซเรีย อา โดยคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 2001/02 อย่างไรก็ตาม ช่วงพีคของเขาอยู่ที่ เซบีญ่า ซึ่งเขาพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ 2 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ, โกปา เดล เรย์ และ สแปนิช ซูเปอร์คัพ จากนั้นจึงย้ายไปโลดแล่นในหลายลีกทั้งกับโอลิมเปียกอส, มาลาก้า, ซามพ์โดเรีย และปาแลร์โม่ ก่อนจบอาชีพกับ เฮลลาส เวโรน่า ในปี 2017 โปรไฟล์ของมาเรสก้าในฐานะนักเตะถือว่าเข้มข้นและผ่านการเล่นในลีกชั้นนำหลากหลายสไตล์
4. มิเกล อาร์เตต้า (อาร์เซน่อล)
หนึ่งในกุนซือยุคใหม่ที่เติบโตจากระบบของ บาร์เซโลน่า ลา มาเซีย ก่อนจะออกไปสร้างชื่อกับ เอฟเวอร์ตัน และกลายเป็นกองกลางขวัญใจแฟนบอล “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เขาย้ายมาอยู่กับ อาร์เซน่อล ในปี 2011 และคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัยก่อนจะแขวนสตั๊ดกับทีมในปี 2016 แม้จะไม่เคยคว้าแชมป์ลีกใหญ่ๆ แต่เขาเคยได้แชมป์ สกอตติช พรีเมียร์ลีก กับเรนเจอร์ส และเป็นที่จดจำในเรื่องความเป็นผู้นำและการอ่านเกมที่เฉียบขาดมากกว่าความโดดเด่นในเชิงรางวัล
5. อาร์เน่อ สล็อต (ลิเวอร์พูล)
กุนซือผู้พา “หงส์แดง” ผงาดแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลล่าสุด แต่ในฐานะนักเตะชื่อของ อาร์เน่อ สล็อต แทบไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เขาเล่นอยู่กับทีมเล็กในลีกดัตช์อย่าง ซโวลล์ และ เอ็นเอซี เบรด้า โดยมีสถิติลงสนามรวมกันกว่า 300 นัด จุดเด่นของเขาคือทักษะการจ่ายบอลและวิสัยทัศน์ที่เฉียบคม แต่อาชีพของเขาไม่ได้เคยสัมผัสแชมป์รายการเมเจอร์เลย และแขวนสตั๊ดกับ พีอีซี ซโวลล์ ในปี 2013
6. โธมัส แฟร้งค์ (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์)
ต่างจากกุนซือคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เพราะ แฟร้งค์ ไม่เคยเป็นนักเตะอาชีพเลยแม้แต่วันเดียว เส้นทางของเขาคือการเริ่มต้นจากการคุมทีมเยาวชนทีมชาติเดนมาร์กในรุ่น U16, U17 และ U19 จนก้าวขึ้นมาคุมสโมสร บรอนด์บี้ และสร้างชื่อเสียงแบบเต็มตัวกับ เบรนท์ฟอร์ด ก่อนจะถูก ไก่เดือยทอง ดึงตัวมารับภารกิจในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลใหม่ แม้จะไม่มีเกียรติยศใดๆ ตอนเป็นนักเตะ แต่แฟร้งค์คือแบบอย่างของโค้ชยุคใหม่ที่ขึ้นมาด้วย “สมองล้วนๆ”
สรุป
ในบรรดา กุนซือท็อปซิกซ์พรีเมียร์ลีก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังคงเป็นอันดับหนึ่งแบบไร้ข้อกังขาทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช ขณะที่ อโมริม และมาเรสก้า ก็มีประวัติค้าแข้งที่น่าประทับใจ ส่วนฝั่งของ อาร์เตต้า กับ สล็อต นั้นถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ส่วน โธมัส แฟร้งค์ คือข้อยกเว้นที่พิสูจน์ว่าการเป็นกุนซือระดับท็อปไม่จำเป็นต้องเคยเป็นนักเตะดังมาก่อน
ติดตามบทวิเคราะห์ฟุตบอลเจาะลึกแบบจัดเต็มได้ทุกวันทาง ข่าวกีฬาฟุตบอลบ้านกีฬา
