
วันที่ 26 มิถุนายน 2568 อาจดูเหมือนวันธรรมดา แต่สำหรับ ชาวไร่ชาวนาไทย นี่คือวันแห่งความหวังครั้งใหญ่! เพราะที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) มีมติเห็นชอบให้ รัฐจ่าย “เงินช่วยเหลือชาวนา” ปีการผลิต 2568/69 วงเงินทะลุกว่า 5 หมื่นล้านบาท เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก และเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน
ในการประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล นำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ และ ธ.ก.ส. ได้หารือเรื่องสถานการณ์ข้าวโลก-ข้าวไทย ทั้งในมิติการผลิต การบริโภค การส่งออก และแนวโน้มราคา ก่อนลงมติ อนุมัติ 4 มาตรการสำคัญเพื่อชาวนา โดยเฉพาะผู้ปลูกข้าวนาปี และข้าวนาปรังปี 68/69
ชาวไร่ชาวนา รัฐจ่ายเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 – 1,500 บาท ผ่านแอป ธ.ก.ส.
หนึ่งในไฮไลต์ที่ได้รับความสนใจคือมาตรการ เงินช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิต สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี โดย รัฐจ่าย 500 บาทต่อไร่ สูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ รวมเป็น 5,000 บาทต่อราย ผ่าน แอปพลิเคชัน BAAC Mobile ของธ.ก.ส. โดยสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ทันที
นอกจากนี้ยังมีการ สนับสนุนเงินสดอีก 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 10 ไร่ รวมแล้วเกษตรกรจะได้รับเงินรวม 1,000 บาทต่อไร่ หรือสูงสุด 10,000 บาท ในโครงการ “เงินช่วยเหลือชาวนา 68/69” ที่กำลังจะเข้าสู่การอนุมัติรอบสุดท้าย
รับเพิ่มอีก 1,500 บาทต่อไร่ หากปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสม
เพื่อแก้ปัญหา การปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมักเจอกับต้นทุนสูงและผลผลิตต่ำ รัฐบาลจึงออกมาตรการใหม่ “ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูก” โดยเกษตรกรที่สมัครใจเปลี่ยนไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น พืชไร่ สมุนไพร หรือพืชอินทรีย์ จะได้รับ เงินช่วยเหลือ 1,500 บาทต่อไร่ เป้าหมายรวม 1 ล้านไร่ภายใน 5 ปี
มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงยิ่งขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาข้าว และผลกระทบจากภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วงซึ่งเกิดบ่อยในพื้นที่ลุ่มต่ำ
ตรวจสิทธิเงินช่วยเหลือชาวนา ผ่าน Farmbook และ BAAC Mobile
เกษตรกรสามารถ ลงทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือ ได้ 2 ช่องทางหลัก
- ผ่านแอป Farmbook ของกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อยืนยันสิทธิ์การเป็นผู้ปลูกข้าว
- ผ่านแอป BAAC Mobile ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำหรับการตรวจสอบสิทธิ์ และรับเงินเข้าระบบอิเล็กทรอนิกส์
เงื่อนไขสำคัญที่ชาวไร่ชาวนาต้องรู้ก่อนลงทะเบียน
- ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว กับกรมส่งเสริมการเกษตรให้เรียบร้อย
- ต้องมีข้อมูลการถือครองที่ดิน หรือสิทธิการใช้ที่ดิน อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
- จำนวนไร่ที่ได้รับสิทธิ์สูงสุดคือ 10 ไร่ต่อครัวเรือน
- ต้องใช้สิทธิ์ผ่านร้านค้าร่วมโครงการเท่านั้น หากรับผ่านแอป BAAC Mobile
สถานการณ์ราคาข้าวปี 68/69 ยังผันผวน
จากข้อมูลของกรมการค้าภายใน ราคาข้าวในประเทศขณะนี้มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ยกเว้น ข้าวหอมมะลิ ที่ยังพยุงราคาได้ที่ 15,500-17,000 บาทต่อตัน เนื่องจากมีออเดอร์ส่งออกอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ข้าวเหนียวและข้าวเจ้าราคาตกต่ำลงจากภาวะล้นตลาด
ดังนั้นโครงการ ชะลอการขายข้าว โดยรัฐสนับสนุนค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน จึงมีบทบาทสำคัญเพื่อดึงปริมาณข้าวออกจากตลาด ลดแรงกดดันต่อราคาภายในประเทศ
รัฐวางแผนระยะยาว หนุนข้าวสุขภาพ-ข้าวอินทรีย์
ไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลือระยะสั้น แต่รัฐบาลยังมีแผนยกระดับภาคการเกษตรไทยอย่างยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนการผลิต ข้าวเฉพาะกลุ่ม เช่น ข้าวอินทรีย์ ข้าวคาร์บอนต่ำ และข้าวเพื่อสุขภาพ เพื่อขยายตลาดส่งออก และเพิ่มมูลค่าในตลาดพรีเมียม
กลยุทธ์นี้สะท้อนว่าการปลูกข้าวไม่ได้เป็นเพียงทางรอด แต่สามารถเป็น “ทางรวย” ได้ หากเกษตรกรปรับตัวสู่แนวทางที่ตลาดโลกต้องการ
30 มิ.ย. ชี้ชะตา! ไฟเขียวเงินช่วยเหลือชาวนาปรัง ไร่ละ 1,000 บาท
อย่ากะพริบตา เพราะวันที่ 30 มิถุนายน 2568 นี้ จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการผลิต ที่จะพิจารณาโครงการ “เงินช่วยเหลือชาวนาปรัง” ซึ่งจะจ่าย ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ ให้เกษตรกรอีกกลุ่มหนึ่ง คาดว่าใช้งบประมาณรวมกว่า 7 พันล้านบาท
โดยมีเกษตรกรขึ้นทะเบียนไว้แล้วกว่า 851,696 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ 11.85 ล้านไร่ และยังมีพื้นที่อีกจำนวนหนึ่งในภาคใต้ที่อยู่ระหว่างดำเนินการขึ้นทะเบียน
ชาวไร่ชาวนาไทยต้องไม่พลาด!
นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่รัฐบาลหันกลับมาสนใจ “กระดูกสันหลังของชาติ” อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น เงินช่วยเหลือเกษตรกร, โครงการลดต้นทุน, สนับสนุนข้าวมูลค่าสูง หรือการเพิ่มศักยภาพการผลิต ล้วนมุ่งสร้างความมั่นคงระยะยาวให้กับเกษตรกรไทยทุกครัวเรือน
อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือ รีบลงทะเบียน ตรวจสอบสิทธิ์ และวางแผนการผลิตให้คุ้มค่าที่สุดในฤดูกาลนี้
ติดตาม ข่าวกระแสมาแรง และข้อมูลชาวไร่ชาวนา อัปเดตทันใจ ได้ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา