ด่วนคดีสะเทือนประเทศ! ศาลสั่งคุก “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” 1,210 ปี เกมหลอกลงทุนมูลค่าหลายพันล้านที่สังคมไทยต้องจำ โดย บ้านกีฬา

ดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง

ภาพรวมคำพิพากษา 1,210 ปี คดีฉ้อโกงประชาชนครั้งล่าสุด

คดีของ ประสิทธิ์ เจียวก๊ก ถูกยกเป็นหนึ่งในคดีฉ้อโกงประชาชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ทั้งจากจำนวนผู้เสียหาย มูลค่าความเสียหาย และตัวเลขโทษจำคุกที่พุ่งทะลุหลัก “พันปี”

วันที่ 25 ธันวาคม 2568 ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษกมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.1472/2566 ซึ่งเป็นคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 ยื่นฟ้องบริษัท เหนือโลก จำกัด และบริษัท เว็บ สวัสดี จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก และพวก รวม 6 จำเลย ในข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากพฤติการณ์หลอกลวงให้ประชาชนมาร่วมลงทุนจนมีผู้เสียหายจำนวนมากทั่วประเทศ

ศาลชี้ว่าจำเลยที่ 1-3 มีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกระทง รวมแล้วโทษของ นายประสิทธิ์ ถูกนับเป็น 242 กระทง กระทงละ 5 ปี ตัวเลขสุดท้ายจึงบานไปอยู่ที่ จำคุก 1,210 ปี พร้อมโทษปรับบริษัทที่เกี่ยวข้องแต่ละแห่งในหลักร้อยล้านบาท และสั่งให้ร่วมกันคืนเงินผู้เสียหายรวม 267 ราย ซึ่งถูกหลอกให้เข้ามาลงทุน

คนสนิทอย่าง นายวิมกริช วงศ์วิเศษศิริ ก็ไม่รอด ศาลลงโทษในความผิดเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน รวม 37 กระทง กระทงละ 3 ปี 4 เดือน ตัวเลขรวมบนกระดาษอยู่ระดับมากกว่า 100 ปี ก่อนศาลจะลดโทษบางส่วนจากการให้การเป็นประโยชน์ เหลือโทษจำคุกมากกว่า 70 ปี และโทษปรับยังอยู่ในหลักหลายสิบล้านบาทต่อบริษัท

อย่างไรก็ตาม ตามหลักกฎหมายอาญาไทย แม้ตัวเลขโทษจำคุกจะพุ่งไปไกลถึงระดับ 1,210 ปี แต่การจำคุกจริงจะถูกจำกัดเพดานไว้ที่ ไม่เกิน 20 ปีต่อคดี ทำให้โทษจำคุกที่ต้องรับจริงไม่ถึงตัวเลขนับพันปีบนหน้าข่าว แต่ “ตราบาปทางกฎหมาย” และคำสั่งให้ชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายจำนวนมาก ยังเป็นภาระที่ต้องติดตัวไปตลอดชีวิตอยู่ดี

คดีที่ 2 ต่อจากคดีแรก: จาก 1,155 ปี สู่ 1,210 ปี

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชื่อของประสิทธิ์ เจียวก๊ก ปรากฏบนคำพิพากษา “โทษระดับพันปี” ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ศาลอาญาได้พิพากษาในคดีฉ้อโกงคดีแรก ให้จำคุกประสิทธิ์รวม 1,155 ปี จากความผิดฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พร้อมคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายรวมกันกว่า 1,000 ล้านบาทให้ผู้เสียหายหลายร้อยราย แต่ตามกฎหมายก็ยังจำกัดโทษจำคุกจริงไว้ที่ 20 ปีเช่นเดิม

เมื่อมาถึง คดีที่ 2 ในปี 2568 ตัวเลข 1,210 ปี จึงกลายเป็นเหมือน “โทษก้อนใหม่” ที่สะท้อนให้เห็นว่า ศาลมองพฤติการณ์ฉ้อโกงครั้งนี้อย่างหนักหน่วงซ้ำเติมจากคดีแรก และส่งสัญญาณชัดว่าคดีลักษณะหลอกลวงลงทุนที่สร้างความเสียหายวงกว้างจะไม่ได้รับการมองข้ามอีกต่อไป

ในทางภาพรวม ถ้าดูเพียงตัวเลขโทษจำคุกทั้งสองคดีรวมกัน มากกว่า 2,300 ปี เป็นตัวเลขที่ “เหนือโลก” ตามชื่อบริษัทเจ้าตัวจริงๆ แต่ในทางกฎหมาย โทษจำคุกที่จะต้องรับจริงยังคงจำกัดตามเพดานที่ประมวลกฎหมายอาญากำหนดไว้ เพื่อไม่ให้โทษเกินขอบเขตความเป็นมนุษย์ และยังเหลือพื้นที่ให้จำเลยกลับตัวกลับใจหลังพ้นโทษ

ใครคือผู้เล่นหลักในคดีนี้?

คดีนี้ไม่ได้มีแค่ชื่อประสิทธิ์คนเดียว แต่ยังโยงถึงนิติบุคคลและผู้ร่วมขบวนการหลายรายที่ร่วมกันสร้างโครงสร้างการลงทุนให้ดู “น่าเชื่อถือ”

  • บริษัท เหนือโลก จำกัด – ถูกใช้เป็นฐานหลักในการดำเนินการระดมทุนและออกผลิตภัณฑ์ลงทุนหลายรูปแบบ
  • บริษัท เว็บ สวัสดี จำกัด (มหาชน) – บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีชื่อของประสิทธิ์เป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจลงนาม ทำให้ภาพลักษณ์โครงการลงทุนดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นในสายตาประชาชนทั่วไป
  • โครงการคืนคุณแผ่นดิน – โปรเจ็กต์ที่ถูกนำเสนอในเชิง “จิตอาสา-ทำความดี” มีการใช้ภาพลักษณ์ของการตอบแทนสังคม การช่วยเหลือชุมชน เพื่อสร้างความศรัทธาและความไว้วางใจ ก่อนจะชักชวนให้คนจำนวนมากเข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจต่างๆ เช่น ท่องเที่ยว, สหกรณ์ออมทรัพย์, แพ็กเกจท่องเที่ยว, คูปองทอง ฯลฯ

พอประชาชนเชื่อใจ ก็พร้อมเทเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่าข้างหน้าคือ “เหว” ของความเสียหายมูลค่าหลายร้อยล้านถึงระดับพันล้านบาท

พฤติการณ์ฉ้อโกงที่ศาลรับฟัง: หลอกลงทุน ผลตอบแทนเย้ายวน

จากเนื้อหาในคำฟ้องและรายงานข่าวของหลายสำนัก มีภาพร่วมกันชัดเจนว่า แกนกลางของคดีนี้คือ “หลอกลงทุน” ผ่านผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ เช่น

  • ลงทุนซื้อคูปองทอง
  • ลงทุนแพ็กเกจท่องเที่ยว
  • ลงทุนในระบบสหกรณ์ออมทรัพย์
  • เสนอผลตอบแทนสูงเกินปกติ จ่ายปันผลในช่วงแรกเพื่อให้เหยื่อ “ตายใจ” ก่อนค่อยๆ บ่ายเบี่ยงและหยุดจ่ายในที่สุด

รูปแบบนี้คือสูตรสำเร็จของ แชร์ลูกโซ่ และ โครงการระดมทุนฉ้อโกง ทั่วโลก – เริ่มต้นด้วยผลตอบแทนดีเกินจริง, ใช้บุคคลที่มีภาพลักษณ์ดีหรือมีต้นทุนทางสังคมสูงเป็นหน้าโครงการ, สร้างบรรยากาศ “ชุมชนแห่งความเชื่อ” จนผู้เสียหายรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันกับเจ้าของโครงการ เมื่อความเชื่อมั่นเต็มร้อย เงินก็ไหลเข้าไม่หยุด

สุดท้าย เมื่อธุรกิจจริงไม่สามารถสร้างผลตอบแทนมาจ่ายได้ หรือแท้จริงไม่มีผลกำไรเพียงพออยู่แล้ว ระบบก็พังครืน ผู้เสียหายไม่ได้เงินคืน ทั้งเงินต้นและผลตอบแทน กลายเป็นคดีฉ้อโกงที่ต้องให้ศาลตัดสินอย่างที่เห็นในวันนี้

จากภาพลักษณ์ “คนทำความดี” สู่คดีฉ้อโกงระดับประเทศ

ก่อนตกเป็นข่าวฉ้อโกง ประสิทธิ์ เจียวก๊ก เคยถูกจับตามองในภาพลักษณ์นักธุรกิจที่ทำโครงการเพื่อสังคม จัดกิจกรรมจิตอาสา พูดเรื่อง “คืนคุณแผ่นดิน” อย่างจริงจัง หลายคนเคยร่วมงานและรู้สึกว่าเขาคือ “คนดีที่ตั้งใจช่วยชาติช่วยบ้านเมือง” จึงเชื่อใจเวลาถูกชวนให้ลงทุน

แต่เมื่อเครือข่ายการลงทุนถูกตรวจสอบอย่างละเอียดจากตำรวจและหน่วยงานรัฐ ภาพที่ซ่อนอยู่หลังคำสวยๆ กลับกลายเป็นพฤติการณ์ฉ้อโกงที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก ทั้งประชาชนทั่วไป พนักงานในบริษัท และคนที่เคยร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาด้วยกันเอง

ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2565 ยังเกิดเหตุการณ์ใหญ่เมื่อประสิทธิ์ใช้จังหวะขอเข้าห้องน้ำระหว่างขึ้นศาล แล้วพยายามหลบหนีโดยใช้เสื้อผ้าชุดลำลองและการปลดเครื่องพันธนาการ ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตามจับได้ภายในอาคารศาลอาญา และถูกสอบสวนต่อถึงขบวนการช่วยเหลือหลบหนี เหตุการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำให้สังคมเห็นถึงความซับซ้อนของคดีและความพยายามหลีกเลี่ยงกระบวนการยุติธรรมของจำเลย

กฎหมาย “กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” คืออะไร ทำไมโทษหนักขนาดนี้?

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมโทษคดีนี้ถึงทะลุหลักพันปี คำตอบหนึ่งอยู่ที่ พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่ออกมาเพื่อจัดการกับกลุ่มที่ใช้การกู้ยืม หรือระดมทุนจากประชาชนในลักษณะฉ้อโกง

สาระสำคัญคือ

  • ผู้กระทำผิดมีโทษจำคุกสูงกว่าคดีฉ้อโกงธรรมดาในประมวลกฎหมายอาญา
  • ถ้ามีการกระทำผิดหลายครั้ง หลายสัญญา หลายผู้เสียหาย ศาลสามารถนับโทษ “แยกกระทง” ได้ ทำให้ยอดโทษรวมกันสูงมาก
  • กฎหมายให้อำนาจพนักงานอัยการเรียกคืน เงินต้นและผลประโยชน์ แทนผู้เสียหาย และสามารถดำเนินคดีล้มละลายเพื่อยึดทรัพย์มาชดใช้ได้ด้วย

แม้ในภาคปฏิบัติ โทษจำคุกจริงจะถูกจำกัดตามเพดานของกฎหมายอาญา เช่น สูงสุด 20 ปีต่อคดี แต่ตัวเลข “พันปี” ที่ศาลระบุในคำพิพากษา ก็มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่า การกระทำผิดมีความร้ายแรงต่อสังคมแค่ไหน และถูกลงโทษในทุกกระทง ไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “เรื่องเล็ก” หรือ “ความผิดครั้งเดียวแล้วจบ”

บทเรียนใหญ่จากคดีประสิทธิ์ เจียวก๊ก: แชร์ลูกโซ่ยุคดิจิทัลมาในคราบอะไรบ้าง

คดีนี้กลายเป็น “ตำราเตือนภัย” ฉบับใหญ่ให้สังคมไทย เพราะโมเดลไม่ได้ต่างจากแชร์ลูกโซ่ยุคก่อนมากนัก เพียงเปลี่ยนแพ็กเกจให้เข้ายุคดิจิทัล และใช้คำพูดสวยหรูให้ฟังดูทันสมัย น่าเชื่อถือ

จุดสังเกตสำคัญที่ควรจำให้ขึ้นใจ คือ

  1. ผลตอบแทนสูงเกินจริง
    ถ้าใครมาชวนลงทุนแล้วบอกให้ผลตอบแทนสูงอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น 10–20% ทุกเดือน หรือทุก 30–40 วัน ต้องตั้งคำถามทันทีว่าธุรกิจอะไรกำไรแรงขนาดนั้นอย่างสม่ำเสมอโดยไม่มีความเสี่ยงเลย
  2. ใช้ภาพลักษณ์ “คนดี-จิตอาสา-เพื่อชาติ” บังหน้า
    การทำกิจกรรมการกุศล, ถ่ายรูปกับบุคคลมีชื่อเสียง, จัดงานใหญ่เพื่อสังคม เป็นเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถืออย่างดี แต่ภาพสวยงามภายนอกไม่ได้การันตีว่าโครงสร้างธุรกิจข้างในสะอาดจริง
  3. จ่ายผลตอบแทนตรงเวลาช่วงแรก แล้วเริ่มบ่ายเบี่ยง
    สูตรคลาสสิกของแชร์ลูกโซ่คือ ช่วงแรกจ่ายจริงตรงเวลา เพื่อให้คนเชื่อมั่นและชวนคนรอบตัวมาลงทุนเพิ่ม แต่พอเงินจากคนใหม่เริ่มลดลง หรือระบบเริ่มฝืด ก็เริ่มบ่ายเบี่ยงว่าจะจ่ายทีหลัง ก่อน “เงียบหาย” ในที่สุด
  4. เน้นให้โอนเงินสด แต่เอกสารสัญญาไม่ชัดเจน
    ถ้าสัญญาเขียนกำกวม ไม่ระบุความเสี่ยง ไม่มีเงื่อนไขรับผิดชอบที่ชัดเจน หรือมีแต่เอกสารที่อ่านยาก แต่เร่งให้โอนเงินก่อน ให้ถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายทันที
  5. ใช้โซเชียลและออนไลน์เป็นเครื่องมือหลัก
    ยุคนี้ หลายเคสใช้เฟซบุ๊ก, ไลน์กลุ่ม, ไลฟ์สด หรือคอนเทนต์ออนไลน์ในการสร้าง “ชุมชนการลงทุน” จนคนรู้สึกสนิทสนมไว้ใจกัน ทั้งที่แทบไม่รู้ข้อมูลทางการเงินจริงเลย

วิธีป้องกันตัวเองจากคดีฉ้อโกงลงทุนแบบนี้

เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อในคดีลักษณะเดียวกับประสิทธิ์ เจียวก๊ก บ้านกีฬา ขอชวนจด “เช็กลิสต์ป้องกันตัวเอง” แบบใช้ได้ยาวๆ ในทุกยุคทุกสมัย

  1. เช็กใบอนุญาตก่อนทุกครั้ง
    • ธุรกิจที่ระดมทุนจากประชาชนต้องอยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานรัฐ เช่น ก.ล.ต. หรือธนาคารแห่งประเทศไทย
    • ถ้าไม่มีใบอนุญาต หรืออ้างว่า “ไม่ต้องขออนุญาตเพราะเป็นระบบพิเศษ” ให้ตีธงแดงไว้ก่อน
  2. อย่าลงทุนเพราะคำว่า “เชื่อใจ” หรือ “น่าสงสาร”
    • หลายคดีเหยื่อเป็นคนที่เคยร่วมกิจกรรมดีๆ ด้วยกัน ทำให้ไม่อยากสงสัย
    • แต่อย่าลืมว่า เงินลงทุนคือทรัพย์สินของเราเอง ถ้าหายไปแล้ว การตามคืนแทบจะเป็นเรื่องยากมาก
  3. ไม่เอาเงินเก็บทั้งชีวิตไปเสี่ยงกับโครงการเดียว
    • แนวคิดกระจายความเสี่ยง ยังใช้ได้เสมอ
    • ถ้าโครงการใดบอกให้เอา “เงินทั้งหมด” มาลงเพราะ “โอกาสทอง” ให้ถอยก่อนหนึ่งก้าว
  4. คุยกับคนในครอบครัวก่อนตัดสินใจ
    • โดยเฉพาะวัยรุ่นหรือคนทำงานรุ่นใหม่ที่อยากรวยเร็ว บางครั้งการถามความเห็นพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ จะช่วยให้เห็นมุมที่เราไม่ทันคิด
    • ถ้าต้องปิดบังครอบครัวในการลงทุน โปรเจ็กต์นั้นก็น่าสงสัยตั้งแต่ต้นแล้ว
  5. เก็บหลักฐานทุกอย่างไว้เสมอ
    • สลิปโอนเงิน แชตไลน์ เอกสารนำเสนอ ข้อตกลง เงื่อนไขต่างๆ
    • ถ้าเกิดปัญหา การมีหลักฐานชัด จะช่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือศาลพิจารณาคดีได้เร็วและตรงไปตรงมาขึ้น

คดีนี้สอนอะไรสังคมไทย?

คดี ประสิทธิ์ เจียวก๊ก ไม่ใช่แค่คดีหนึ่งในหน้าข่าวอาชญากรรม แต่มันสะท้อนหลายเรื่องพร้อมกัน

  • สะท้อนว่า “ความเชื่อใจ” ถ้าวางผิดคน อาจแลกมาด้วยเงินเก็บทั้งชีวิต
  • สะท้อนว่า “ภาพลักษณ์ความดี” สามารถถูกใช้เป็นเกราะกำบังโครงการฉ้อโกงได้อย่างแนบเนียน
  • สะท้อนว่ากฎหมายไทยเริ่มขยับจริงจังกับคดีฉ้อโกงประชาชน ใช้ทั้งการจำคุกระดับสูงสุด และการบังคับชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายจำนวนมาก

ในอีกด้านหนึ่ง คดีนี้ยังเป็นบทเรียนสำคัญให้หน่วยงานรัฐต้องพัฒนาระบบเตือนภัยการลงทุนให้เร็วและชัดขึ้น ขณะที่ประชาชนเองก็ต้องเรียนรู้พื้นฐานด้านการเงิน การลงทุน และการตรวจสอบข้อมูล ไม่ปล่อยให้คำว่า “โอกาสทอง” หรือ “ช่วยชาติช่วยแผ่นดิน” มาบังสายตาจนลืมคิดวิเคราะห์

บ้านกีฬา มองว่าคดีนี้คือ “เกมใหญ่ในสนามความเชื่อใจ” ที่จบลงด้วยการตัดสินของศาล แต่เกมในชีวิตจริงของผู้เสียหายอีกหลายร้อยคนยังต้องเดินหน้าต่อ ทั้งการตามเงินคืน การเยียวยาชีวิต และการกลับมาสร้างความมั่นคงใหม่อีกครั้ง

สรุป

  • ศาลอาญาพิพากษาโทษนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ในคดีที่สอง เป็นโทษจำคุกตามกระทงรวม 1,210 ปี พร้อมโทษปรับบริษัทที่เกี่ยวข้อง และคำสั่งให้ร่วมกันชดใช้ผู้เสียหาย 267 ราย
  • โทษจำคุกจริงตามกฎหมายถูกจำกัดเพดาน ไม่เกิน 20 ปีต่อคดี แต่ตัวเลขพันปีสะท้อนระดับความร้ายแรงของการกระทำและจำนวนผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบ
  • คดีนี้สืบเนื่องจากโครงสร้างการระดมทุนที่ใช้ภาพลักษณ์ “คืนคุณแผ่นดิน” และกิจกรรมเพื่อสังคมเป็นเกราะบังหน้า ก่อนหลอกให้ประชาชนเข้ามาลงทุนจำนวนมาก
  • บทเรียนสำคัญสำหรับสังคมไทยคือ ต้องไม่หลงเชื่อผลตอบแทนเกินจริง, ต้องตรวจสอบใบอนุญาตและข้อมูลธุรกิจให้รอบด้าน และต้องเก็บหลักฐานทุกครั้งที่มีการลงทุน

ในวันที่คำพิพากษาออกมา ชื่อของประสิทธิ์ เจียวก๊ก อาจกลายเป็น “ตัวอย่างในตำรา” ว่าคดีฉ้อโกงประชาชนยุคใหม่มีหน้าตาอย่างไร แต่ที่สำคัญกว่าคือ เราในฐานะประชาชนจะเรียนรู้อะไรจากคดีนี้ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์การหลอกลงทุนซ้ำรอยอีกในรุ่นลูกหลาน

ท้ายที่สุด ใครที่อยากตามทุกจังหวะของข่าวแรง ข่าวใหญ่ ทั้งวงการกีฬา การเมือง สังคม และคดีดังแบบนี้ อย่าลืมติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

ตรวจหวย 24 ชั่วโมง หวยลาว หวยฮานอย

แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา