เช้าวันที่ 28 ธันวาคม 2568 สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเดินเข้าสู่ “วันที่ 2” ของข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลตั้งแต่เวลาเที่ยง (12.00 น.) วันที่ 27 ธันวาคม โดยหัวใจสำคัญคือการ “คงกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน” ห้ามเสริมกำลัง ห้ามยั่วยุ และให้ติดตามผลอย่างน้อย 72 ชั่วโมง—ถ้าทำได้จริง ไทยมีเงื่อนไขปล่อยตัวทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัว 18 นายเป็นสัญญาณด้านมนุษยธรรมและการลดความตึงเครียด
บรรยากาศโดยรวมถูกจับตาแบบ “จับเวลาเหมือนช่วงทดเจ็บ” เพราะทุกฝ่ายรู้ว่า ความเงียบหลังเสียงปืนไม่ใช่บทสรุป แต่มันคือช่วงทดสอบความจริงใจ—และเป็นช่วงที่ความเสี่ยงอย่าง “ทุ่นระเบิด” ยังเป็นกับดักที่อันตรายที่สุดสำหรับกำลังพลและประชาชนในพื้นที่
ดีลหยุดยิงเกิดขึ้นได้อย่างไร: เวที GBC และเงื่อนไข 72 ชั่วโมง
ข้อตกลงหยุดยิงรอบนี้เกิดขึ้นหลังการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งเป็นกลไกระดับสูงด้านความมั่นคงของสองประเทศ มีรัฐมนตรีกลาโหมของไทยและกัมพูชาเป็นประธานร่วม ใช้เพื่อกำหนดมาตรการลดปะทะ-สร้างความร่วมมือ-แก้ปัญหาชายแดนอย่างเป็นระบบ
ตามรายงานจากสื่อสากล ข้อตกลงมีแกนสำคัญ 3 ข้อใหญ่ ๆ
- หยุดปฏิบัติการรุก/การโจมตี และงดการยั่วยุ
- หยุดการเคลื่อนย้าย/เสริมกำลัง และ “ยืนตำแหน่งเดิม”
- มีการติดตาม/ตรวจสอบ โดยมีบทบาทของผู้สังเกตการณ์ระดับภูมิภาคอย่างอาเซียน และช่องทางประสานงานทวิภาคีเพื่อกันความเข้าใจผิด
ที่ต้องย้ำคือ “72 ชั่วโมง” ไม่ใช่ตัวเลขลอย ๆ แต่มันคือช่วงทดสอบความต่อเนื่องของการหยุดยิง—ถ้าผ่านได้ จะต่อยอดไปสู่ขั้นลดความตึงเครียดและมาตรการมนุษยธรรม เช่น การส่งตัวผู้ถูกควบคุมกลับตามเงื่อนไข

รมว.กลาโหมไทยย้ำ: หยุดยิงแบบมีเงื่อนไข = ตรวจสอบความจริงใจ ไม่ใช่ยอมแพ้
ฝั่งไทยสื่อสารชัดว่า “หยุดยิงแบบมีเงื่อนไข” คือการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อประชาชนและให้พื้นที่พิสูจน์ความจริงใจของอีกฝ่าย โดยหลักคิดสำคัญคือความสงบต้องวัดจาก “พฤติกรรมในพื้นที่จริง” ไม่ใช่ถ้อยแถลง
มุมบ้านกีฬา: นี่เหมือนทีมที่นำอยู่แล้วเลือก “คุมจังหวะเกม” ไม่เปิดหน้าแลกมั่ว ๆ แต่ยังยืนพื้นว่า ถ้าอีกฝ่ายผิดคำพูด เกมก็พร้อมกลับเข้าสู่โหมดปกป้องอธิปไตยทันที—ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและหลักความจำเป็น/ได้สัดส่วนที่รัฐมักยึดในการอธิบายสิทธิการป้องกันตนเอง
ภาพรวมพื้นที่: ความรุนแรงลดลงหลังเที่ยง 27 ธ.ค. แต่ “กับระเบิดเงียบ” ยังน่ากลัว
หลังข้อตกลงมีผลช่วงเที่ยงของวันที่ 27 ธ.ค. รายงานจากหลายสำนักระบุว่าการยิงลดลงและแนวรบหลายจุดสงบลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ
แต่สิ่งที่ทำให้คำว่า “หยุดยิง” ยังไม่เท่ากับ “ปลอดภัย” คือประเด็นทุ่นระเบิดและการปนเปื้อนวัตถุระเบิดตกค้างในพื้นที่ปะทะ—มันเป็นความเสี่ยงที่ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกคน และกระทบต่อการกลับเข้าบ้านของประชาชนโดยตรง
TMAC ชี้หลักฐานทุ่น PMN-2 และประเด็นอนุสัญญาออตตาวา: ดราม่าที่บีบให้ต้องโปร่งใส
วันที่ 28 ธ.ค. ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ออกมาแสดงท่าทีประณาม โดยรายงานว่าในการตรวจพื้นที่และฐานที่ถูกทิ้งร้าง พบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการวางทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 และข้อมูลพิกัดบางส่วน ซึ่ง TMAC มองว่าเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศด้านการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ในภาพใหญ่ ไทยเคยอธิบายในเวทีระหว่างประเทศว่าไทยเป็นภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Ottawa Convention) ตั้งแต่ปี 1999 และกัมพูชาเป็นภาคีตั้งแต่ปี 2000 พร้อมย้ำภาระผูกพันด้านการห้ามใช้/การทำลายคลังทุ่น และการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญา
จุดสำคัญคือ เมื่อมีข้อกล่าวหาเรื่องทุ่นระเบิดเกิดขึ้นในช่วง “หยุดยิง” มันจะกลายเป็นตัวชี้วัดความจริงใจทันที เพราะต่อให้ไม่มีเสียงปืน แต่ถ้าพื้นที่ยังเสี่ยงสูง ความเชื่อมั่นของประชาชนและแรงสนับสนุนในเวทีระหว่างประเทศก็จะสั่นคลอน
เวทีโลกขยับ: อาเซียนเฝ้าดู สหรัฐฯ รับทราบ จีนเป็นนัดถัดไป
สถานการณ์ชายแดนรอบนี้ไม่ได้อยู่แค่ในแผนที่แนวรบ แต่ขึ้นไปอยู่บนโต๊ะการทูตด้วย รายงานระบุว่าอาเซียนมีบทบาทด้านการติดตาม/สังเกตการณ์ และมีการประสานงานทวิภาคีเพื่อคุมสถานการณ์ไม่ให้กลับไปเดือดซ้ำ
ฝั่งสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ ออกแถลงยินดีต่อข้อตกลงหยุดยิง และเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามพันธกรณีทันทีให้ครบถ้วนตามกรอบข้อตกลงสันติภาพที่เกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกัน Reuters ระบุว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองประเทศมีแผนไปพบรัฐมนตรีต่างประเทศจีนที่มณฑลยูนนาน เพื่อหารือสถานการณ์ต่อเนื่อง—สะท้อนว่าเกมนี้ต้องเดิน “สองขา” คือ ขาคุมพื้นที่ + ขาคุมเวทีโลก

ทำไม “กัวลาลัมเปอร์” ถูกหยิบมาพูด: ฉากหลังข้อตกลงที่ยังตามหลอกหลอน
สื่อระหว่างประเทศชี้ว่าข้อตกลงหยุดยิงล่าสุดเกิดขึ้นหลังความพยายามก่อนหน้าที่เคยมีกรอบข้อตกลงสันติภาพ/ปฏิญญาร่วมในภูมิภาค ซึ่งต่อมาสถานการณ์กลับมาปะทะอีก ทำให้ทุกฝ่ายระวังกับคำว่า “ตกลงแล้วจบ”
ฝั่งเอกสารทางการของไทยเคยสื่อสารรายละเอียดการลงนามปฏิญญาร่วมที่กัวลาลัมเปอร์ในช่วงก่อนหน้า โดยย้ำหลักการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ เคารพอธิปไตย และมาตรการที่ต้องทำให้เห็นเป็นรูปธรรม
สรุปแบบบ้านกีฬา: นี่คือเหตุผลที่ “72 ชั่วโมง” ถูกตั้งเป็นด่านแรก—เพราะในอดีตข้อตกลงที่ดูสวยในกระดาษ เคยแพ้ความจริงในพื้นที่มาแล้ว
ประชาชนชายแดนควรรู้อะไรตอนนี้: ความปลอดภัยมาก่อนเสมอ
แม้สถานการณ์จะนิ่งลง แต่ช่วงหลังปะทะใหม่ ๆ เป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่มักย้ำเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงวัตถุระเบิดตกค้างและทุ่นระเบิด
- ติดตามประกาศจากหน่วยงานรัฐ/ฝ่ายปกครองในพื้นที่อย่างใกล้ชิด
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตอันตราย หรือเส้นทางที่ไม่เคยใช้งาน
- หากพบสิ่งต้องสงสัย ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ ไม่เข้าไปแตะต้องหรือเคลื่อนย้าย
เพราะ “อันตรายที่เงียบ” มักเกิดในวินาทีที่เราคิดว่าทุกอย่างสงบแล้ว
จับตา 24–72 ชั่วโมงจากนี้: สัญญาณไหนคือ “คีย์เกม” ของหยุดยิง
เพื่อดูว่า หยุดยิง 72 ชั่วโมง จะ “ผ่านด่าน” หรือสะดุด ให้จับตาสัญญาณหลัก ๆ เหล่านี้
- มีรายงานการยิง/การยั่วยุหรือไม่ หลังผ่านเที่ยงวันที่ 27 ธ.ค. ไปแล้ว
- มีการเสริมกำลังหรือเคลื่อนย้ายผิดเงื่อนไขหรือไม่ (เพราะนี่คือจุดที่ทำให้ดีลพังเร็วที่สุด)
- ความคืบหน้ากลไกสังเกตการณ์/การสื่อสารระหว่างหน่วยในพื้นที่ ทำงานได้จริงแค่ไหน
- ประเด็นทุ่นระเบิดและการทำพื้นที่ให้ปลอดภัย มีความโปร่งใสและร่วมมือหรือไม่
สรุปสถานการณ์ 28 ธ.ค. 2568: หยุดยิงเริ่มนิ่ง แต่ยังไม่ใช่เวลาวางใจ
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในวันที่ 28 ธ.ค. 2568 เดินมาถึงจังหวะ “นิ่งแบบต้องคุมเกม” ข้อตกลงหยุดยิงมีผลแล้วและรายงานส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าการปะทะลดลง แต่ความเปราะบางยังอยู่ครบ—ตั้งแต่ความเสี่ยงด้านทุ่นระเบิด ไปจนถึงการเมืองระหว่างประเทศที่พร้อมถูกหยิบไปขยายความ
พูดแบบบ้านกีฬา: นี่คือช่วงที่ทุกคนต้องใจเย็นแต่ไม่ประมาท เพราะถ้าด่าน 72 ชั่วโมงผ่านไปได้จริง มันคือประตูสู่การลดความตึงเครียดระยะยาว แต่ถ้าสะดุด…เกมก็มีสิทธิ์กลับมาเดือดได้ทุกเมื่อ
ขอบคุณรูปภาพจาก กองทัพภาคที่ 2
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

