จับกุมคาเกาะช้าง! ปิดฉากการหลบหนีของ “กาน เวลไฟร์” หลังเหตุเดือดบนทางด่วน
คดีสะเทือนขวัญบนทางด่วนที่จบลงด้วยการสูญเสีย ล่าสุดตำรวจนครบาลตามรวบตัว นายสงกรานต์ พานภู่ หรือ กาน หรือที่ถูกเรียกเรียกขานกันว่า “กาน เวลไฟร์” อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาคดียิงคนขับรถเก๋งเสียชีวิตบริเวณหลังด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษศรีรัช (ด่านประชาชื่น) ฝั่งขาเข้า แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ ได้สำเร็จ หลังหลบหนีมุ่งหน้าสู่ จ.ตราด ก่อนจนมุมบนเกาะช้าง
การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังชุดสืบสวนไล่แกะรอยเส้นทางหลบหนีแบบละเอียด จนกระทั่งเข้าควบคุมตัวได้ที่บริเวณเกาะช้างใต้ อ.เกาะช้าง จ.ตราด (มีรายงานทั้งจุดใกล้สะพานปรมะ และห้องพัก/โฮมสเตย์ที่ใช้กบดาน) โดยผู้ต้องหาไม่ได้ต่อสู้ขัดขืน
ไทม์ไลน์ล่าตัว: ทิ้งรถ-ต่อแท็กซี่หลายทอด-รับครอบครัวก่อนเผ่น
จากข้อมูลการสืบสวน ผู้ต้องหาใช้วิธี “สับรอย” เปลี่ยนพาหนะหลายต่อ เริ่มจากขับรถตู้โตโยต้าเวลไฟร์คันที่เกี่ยวข้องกับเหตุ ไปจอดทิ้งไว้ที่โรงแรมใน จ.นครปฐม ก่อนขึ้นรถแท็กซี่ต่อเนื่องหลายทอด ไปโผล่ระยอง และมีเพื่อนนำรถโตโยต้า ยาริส สีบรอนซ์ มารับ (พร้อมจ่ายค่าแท็กซี่เป็นเงินสด 2,500 บาท) จากนั้นผู้ต้องหามุ่งหน้าไปรับภรรยาและลูก ก่อนเช่ารถขับหลบหนีมุ่งหน้าไป จ.ตราด
นี่คือภาพสะท้อนว่า “คดีใหญ่” ในยุคนี้ หนีอย่างเดียวไม่พอ เพราะทุกเส้นทางทิ้งร่องรอยไว้เสมอ ทั้งกล้องวงจรปิด เส้นทางการเดินทาง บุคคลที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลการเคลื่อนไหวที่เจ้าหน้าที่แกะได้เป็นชั้น ๆ

ปฏิบัติการนครบาล: สนธิกำลังหลายหน่วย ก่อนปิดเกมแบบไร้การปะทะ
แหล่งข่าวระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้อยู่ภายใต้การสั่งการและประสานงานของผู้บังคับบัญชาหลายระดับ นำโดย พล.ต.ท.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ และ พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย พร้อมชุดสืบสวนที่เกี่ยวข้อง สนธิกำลังร่วมกับหน่วยในพื้นที่ จ.ตราด รวมถึงเจ้าหน้าที่ท้องที่บนเกาะช้าง
จุดสำคัญคือการควบคุมตัว “ผู้พาผู้ต้องหาหลบหนี” ก่อน สอบถามจนได้เบาะแสที่พักซึ่งเปิดไว้ 2 ห้อง แยกกันพัก (ผู้ต้องหาพักหนึ่งห้อง อีกห้องเป็นของผู้พาหลบหนี) ก่อนเจ้าหน้าที่บุกเข้าควบคุมตัวอย่างรวดเร็ว
ช็อตสะเทือนใจ: ขออุ้มลูกคนเล็ก “เป็นครั้งสุดท้าย”
อีกมุมที่คนอ่านสะดุดใจ คือช่วงหลังจับกุม ชุดสืบสวนพบภรรยา ลูก และพี่เลี้ยงอยู่บริเวณใกล้เคียง จึงพามายังจุดจับกุม ก่อนที่ผู้ต้องหาจะ “ร้องขออุ้มลูกคนเล็กเป็นครั้งสุดท้าย” ภาพนี้สะท้อนความจริงที่โหดร้ายของคดีอาชญากรรม—หนึ่งการตัดสินใจในเสี้ยววินาที อาจพาครอบครัวทั้งสองฝั่งไปอยู่คนละโลกทันที
ข้อหาหนักแน่น! หมายจับ-ฆ่าผู้อื่น-พยายามฆ่า-พกปืนในที่สาธารณะ
คดีนี้ศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาในข้อหาหลัก ๆ ตามรายงาน ได้แก่
- ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
- พยายามฆ่าผู้อื่น
- มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
- พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง/หมู่บ้าน/ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่เป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วน
- ยิงปืนในเมือง/หมู่บ้าน/ที่ชุมชนโดยใช้ดินระเบิดโดยไม่มีเหตุ
น้ำหนักของข้อหาชี้ชัดว่า คดีไม่ได้ถูกมองเป็น “เรื่องทะเลาะบนถนน” ธรรมดา แต่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่ต้องเดินตามกระบวนการอย่างเข้มข้น

ผู้ต้องหา “รับสารภาพ” ปมปาดหน้า-โต้เถียง ก่อนลั่นไกบนทางด่วน
ความคืบหน้าล่าสุดช่วงเช้ามืดวันที่ 25 ธ.ค. มีรายงานว่าตำรวจได้คุมตัวผู้ต้องหามาส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอน โดยเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การ “ยอมรับสารภาพ” ว่าก่อเหตุจริง สาเหตุหลักมาจากปมขับรถปาดหน้ากันจนเกิดปากเสียง ก่อนเหตุการณ์บานปลาย
ขณะเดียวกัน ผู้ต้องหายังมีการอ้างในทำนอง “ป้องกันตัว” ตามภาพ/คลิปจากกล้องวงจรปิดที่ปรากฏบนสื่อ ซึ่งรายละเอียดเชิงลึกจะต้องไปชี้กันในสำนวนสอบสวน พยานหลักฐาน และขั้นตอนทางกฎหมายต่อจากนี้
หมายเหตุ: ในรายงานมีการระบุอายุผู้เสียชีวิตต่างกัน (พบทั้ง “หนุ่ม 34 ปี” และ “ชายวัย 24 ปี”) บ้านกีฬาขออ้างอิงตามข้อมูลที่ปรากฏในต้นทางข่าว และรอการยืนยันจากการแถลง/เอกสารทางการอีกครั้งเพื่อความชัดเจน
บรรยากาศในห้องขัง: อิดโรย ฟุบกับพื้น ญาตินำอาหารมาเยี่ยม
ช่วงเช้าวันเดียวกันที่ สน.ประชาชื่น มีรายงานต่อว่า หลังถูกสอบปากคำ ผู้ต้องหามีอาการอิดโรย อ่อนเพลีย และเมื่อเข้าห้องควบคุมตัวได้ฟุบหลับกับพื้นทันที ต่อมาญาติได้นำอาหารและเครื่องดื่มมาฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเยี่ยม ก่อนเดินทางกลับโดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ
นี่เป็นรายละเอียด “หลังฉาก” ที่สะท้อนความตึงของคดี—ทั้งแรงกดดันจากสังคม น้ำหนักข้อกล่าวหา และขั้นตอนสอบสวนที่กำลังเดินหน้าแบบไม่หยุด
เตรียมแถลงข่าว-พิสูจน์หลักฐาน: ลายนิ้วมือ เขม่าปืน และทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
กระบวนการหลังจับกุมไม่ได้จบแค่ “รับสารภาพ” แต่ต้องยืนบนหลักฐาน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าดำเนินการพิมพ์ลายนิ้วมือ ตรวจสอบเขม่าปืน และจัดทำแผนประกอบคำรับสารภาพเพื่อประกอบสำนวน รวมถึงมีรายงานว่าผู้บังคับบัญชาจะมีการแถลงข่าวต่อสื่อในช่วงบ่าย (ระบุเวลา 13.00 น. ณ กองบังคับการตำรวจจราจร ตามรายงาน)

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่คดีดัง แต่คือบทเรียน “อารมณ์บนถนน” ที่อาจพังชีวิตทั้งสองฝั่ง
คดีลักษณะนี้สะท้อนปัญหาใหญ่ที่เกิดซ้ำ ๆ ในสังคมไทย—ความขัดแย้งบนท้องถนนที่เริ่มจากเรื่องเล็ก แต่ลุกลามเพราะ “อารมณ์นำหน้าเหตุผล” โดยเฉพาะเมื่อมีอาวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง ความเสียหายจะพุ่งจากระดับ “ทะเลาะ” ไปสู่ “โศกนาฏกรรม” ในพริบตา
สิ่งที่ทุกคนควรจำไว้เวลาอยู่บนถนน (เพื่อให้ปลอดภัยและไม่เพิ่มความเสี่ยง)
- ถอยหนึ่งก้าว ดีกว่าแลกด้วยชีวิต: เจอปาดหน้า/ขับกวน ไม่จำเป็นต้องเอาคืน
- เลี่ยงการลงจากรถไปเผชิญหน้า: ยิ่งโต้ยิ่งเสี่ยง โดยเฉพาะบนทางด่วนหรือพื้นที่อับ
- ใช้สติและหลักฐาน: หากเกิดเหตุผิดปกติ กล้องหน้ารถและการแจ้งเจ้าหน้าที่คือทางออกที่ปลอดภัยกว่า
- ถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัย ให้ขับเข้าจุดที่มีคน/มีไฟ/มีเจ้าหน้าที่ และติดต่อสายด่วนตำรวจ 191
ทั้งหมดนี้คือ “วิธีเอาตัวรอด” ที่ควรรู้ไว้ ไม่ใช่เพื่อให้กลัวถนน แต่เพื่อกลับบ้านให้ถึงทุกวัน
สรุปสถานการณ์ล่าสุด: จับได้แล้ว คุมสอบ-ดำเนินคดี และรอความชัดจากตำรวจ
ภาพรวมตอนนี้คือผู้ต้องหาถูกจับกุมได้แล้วที่เกาะช้าง คุมตัวกลับมาสอบปากคำและดำเนินคดีที่ สน.ประชาชื่น มีการสอบเพิ่ม เก็บหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และเตรียมชี้แจงต่อสังคมผ่านการแถลงข่าว ส่วนรายละเอียดแรงจูงใจ พฤติการณ์แบบละเอียด และพยานหลักฐานเชิงลึก ต้องรอผลสอบสวนอย่างเป็นทางการ
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

