
ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูงแห่งศึก พรีเมียร์ลีก สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะกลับไปสวมเสื้อแข่งของ อาดิดาส เริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 เป็นต้นไป หลังจากสัญญากับ ไนกี้ กำลังจะสิ้นสุดลงเมื่อจบฤดูกาล 2024/25 การกลับมาร่วมมือกับแบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่สัญชาติเยอรมันครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงแบรนด์ชุดแข่ง แต่ยังมาพร้อมกับข้อตกลงทางการเงินที่น่าทึ่งอีกด้วย
การเซ็นสัญญาใหม่ระยะเวลา 5 ปีนี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้รับค่าตอบแทนมหาศาลถึงปีละ 65-70 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,925-3,150 ล้านบาท) ซึ่งส่งผลให้สัญญาเสื้อแข่งใหม่ของ หงส์แดง ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 5 ของ สัญญาเสื้อแข่งที่แพงที่สุดในโลก โดยเป็นรองเพียงแค่สองยักษ์ใหญ่จาก ลา ลีกา อย่าง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า รวมถึงคู่แข่งร่วมลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล เท่านั้น
สื่อดังจากอังกฤษอย่าง เดลี่ เมล ได้ตีแผ่รายชื่อ ท็อป 10 สัญญาเสื้อแข่งแพงสุดในโลก โดยเรียงตามมูลค่าต่อปี ดังนี้
- เรอัล มาดริด (อาดิดาส) 2019-2028, 110 ล้านปอนด์ต่อปี
- บาร์เซโลน่า (ไนกี้) 2025-2039, 105 ล้านปอนด์
- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (อาดิดาส) 2023-2035, 90 ล้านปอนด์
- อาร์เซน่อล (อาดิดาส) 2022-2030, 75 ล้านปอนด์
- ลิเวอร์พูล (อาดิดาส) เริ่มซีซั่น 2025/26, 65-70 ล้านปอนด์
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (พูม่า) 2019-2029, 65 ล้านปอนด์
- เชลซี (ไนกี้) 2016-2031, 60 ล้านปอนด์
- ยูเวนตุส (อาดิดาส) 2019-2027, 46 ล้านปอนด์
- บาเยิร์น มิวนิค (อาดิดาส) 2015-2030, 42.5 ล้านปอนด์
- ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (ไนกี้) 2018-2030, 30 ล้านปอนด์
การเซ็นสัญญาครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มรายได้ให้กับ ลิเวอร์พูล เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความนิยมและความแข็งแกร่งของแบรนด์ หงส์แดง ในตลาดโลกอีกด้วย การร่วมมือกับ อาดิดาส ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิตชุดแข่งสำหรับทีมฟุตบอลระดับโลกจะช่วยให้ ลิเวอร์พูล มีความได้เปรียบทั้งในด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ต่อเนื่องในระยะยาว
นอกจากจะได้รับผลตอบแทนทางการเงินที่มหาศาลแล้ว ยังช่วยให้สโมสรมีศักยภาพในการเสริมทัพนักเตะระดับโลกต่อไปในอนาคต เพื่อให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมสามารถต่อยอดความสำเร็จทั้งใน พรีเมียร์ลีก และเวทียุโรปได้อย่างต่อเนื่อง
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของวงการฟุตบอลแบบเจาะลึกได้ที่ ข่าวกีฬาฟุตบอลบ้านกีฬา