
ในห้วงสัปดาห์ที่การเมืองชายแดนไทย-กัมพูชาร้อนระอุดุจไฟลามทุ่ง ประเด็นเรื่อง “ปราสาทตาเมือนธม” กลายเป็นจุดศูนย์กลางแห่งการถกเถียงทั้งในวงการทหาร นักประวัติศาสตร์ นักการทูต และประชาชนไทยทั่วประเทศ เมื่อมติจากที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 17 ที่ประชุมกันเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 มีการเสนอให้ถอยกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาท โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้ โบราณสถานปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์
คำสั่งดังกล่าวนำมาซึ่งกระแสวิพากษ์อย่างดุเดือดจากทั้งนักการเมืองและอดีตสมาชิกวุฒิสภา ขณะที่รัฐบาลไทยนำโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนกรานว่าเป็นแนวทางเพื่อ ลดความขัดแย้งชายแดน และส่งเสริมความร่วมมืออย่างยั่งยืนกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่คำถามสำคัญที่ถูกโยนกลับมายังรัฐบาลคือ… “ถอยวันนี้…ไทยจะเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลาน?”
🗓️ ไทม์ไลน์เดือด! จากโต๊ะเจรจาสู่แนวชายแดน
1 พฤษภาคม 2568 – การประชุม GBC ระหว่างไทย-กัมพูชา จัดขึ้นอย่างเข้มข้น โดยมีวาระเร่งด่วนคือการลดกำลังทหารในพื้นที่ปะทะช่องอานม้า ช่องบก และพื้นที่รอบ ปราสาทตาเมือนธม พร้อมข้อเสนอให้ทั้งสองฝ่าย “ถอยกำลังกลับจุดเดิม”
2 พฤษภาคม 2568 – กองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่าได้หารือกับทหารกัมพูชาแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายตกลงให้ถอยกำลังพร้อมกัน หวังลดการเผชิญหน้าในพื้นที่ชายแดนที่ยังไม่ได้ปักปันแน่ชัด
3 พฤษภาคม 2568 – นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กวิพากษ์อย่างรุนแรงต่อข้อตกลงนี้ โดยมองว่าอาจเป็นการปูทางสู่การ “เสียดินแดน” ซ้ำรอยคดี ปราสาทพระวิหาร ที่เคยทำให้ไทยต้องสูญเสียพื้นที่ประวัติศาสตร์ไปในอดีต
📌 ทำความเข้าใจ “ปราสาทตาเมือนธม” ดินแดนไทยที่ถูกจับจ้อง
ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในเขตอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ บนแนวเทือกเขาพนมดงรัก บริเวณช่องเขาตาเมียง ชัดเจนว่าเป็นดินแดนไทยตามหลักสันปันน้ำ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 โดยกรมศิลปากร ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
แม้บริเวณรอบปราสาทจะมีบางจุดที่ยังตกลงปักปันไม่เสร็จ แต่การที่ฝ่ายไทยยอมอนุญาตให้กัมพูชาเข้ามาสักการะได้ในช่วงเวลา 09.00-15.00 น. ทุกวัน ถือเป็นการ “อะลุ่มอล่วย” โดยที่ยังยืนยันสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ
ที่สำคัญเมื่อปี 2551 ฝ่ายกัมพูชาเคยส่งทหารพร้อมอาวุธเข้ามาขอเยี่ยมชม แต่ถูกทหารพรานไทยสกัดอย่างเข้มงวดและเพิ่มกำลังรอบปราสาทในทันที เพื่อรักษาอธิปไตยอย่างเข้มแข็ง
❗ คำเตือนจากประวัติศาสตร์: หากถอยตอนนี้…อาจไม่มีวันได้คืน
สมชาย แสวงการ เตือนว่า การถอนกำลังออกก่อนโดยไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน อาจกลายเป็น “หลักฐาน” ที่ฝ่ายกัมพูชาใช้ต่อสู้ในศาลโลกว่าไทยยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่ของตัวเอง เหมือนกรณี เขาพระวิหาร ที่ไทยเคยแพ้คดีเพราะ “หลักฐานยอมรับโดยพฤตินัย” จากการถอนทหารออก
และหากครั้งนี้ ไทยตกหลุมเดิมอีก ก็อาจสูญเสียโบราณสถานสำคัญที่มีอายุเกือบพันปี พร้อมกับความภูมิใจในอธิปไตยที่ควรเป็นของไทยโดยชอบธรรม
🧭 เสียงจากภาคสนาม: กองทัพยืนยันยังปักหลักปราสาทตาเมือนธม
แม้จะมีมติจากที่ประชุม GBC และแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง แต่แหล่งข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ทหารไทยยังคงตรึงกำลังที่ปราสาทตาเมือนธมตามปกติ และจะปฏิบัติตามนโยบายระดับชาติอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในจุดที่ถือว่าเป็นดินแดนไทยโดยไม่มีข้อสงสัย
🔥 จุดเดือดกำลังจะมาถึง?
สถานการณ์นี้จึงเป็นมากกว่าความขัดแย้งชายแดนธรรมดา เพราะมันเกี่ยวข้องกับคำว่า “อธิปไตย” ที่ประชาชนไทยทั้งประเทศจะไม่ยอมให้ใครมาย่ำยีโดยง่าย ยิ่งเมื่อประวัติศาสตร์เคยสอนมาแล้วว่า หาก “ถอย” อย่างไร้หลักการ ก็มีสิทธิ์ “สูญเสีย” อย่างไม่มีวันได้คืน
บ้านกีฬา ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ข่าวชายแดนทั่วไป แต่คือการต่อสู้ระหว่างความถูกต้องกับการเมืองแห่งการประนีประนอมที่อาจแลกมาด้วยแผ่นดิน!
ติดตามข่าวทันกระแสทั้งหมดได้ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา