“พระพรหมเมธีกลับไทยแล้ว!” เปิดเบื้องหลัง 7 ปีแห่งการหลบหนีคดีเงินทอนวัด กับบทเรียนใหญ่ของศาสนาไทย

ชื่อของ “พระพรหมเมธี” หรือ จำนงค์ ธัมมจารี กลับมาเป็นที่จับตาของสังคมไทยอีกครั้ง หลังจากที่เจ้าตัวเดินทางกลับจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ในคดี ฟอกเงินจากกรณีเงินทอนวัด ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีฉาวใหญ่ที่สุดของวงการสงฆ์ไทยในรอบหลายสิบปี ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การกลับมาของอดีตพระมหาเถระรูปหนึ่ง แต่ยังเป็นสัญญาณชัดเจนถึงคำว่า “กรรมตามทัน” ที่เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในโลกแห่งความจริง

ดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง

เมื่อเวลา 06.25 น. ของวันที่ 5 มิถุนายน 2568 พระพรหมเมธี ได้เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิพร้อมคณะพระสงฆ์และลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดแต่เปี่ยมไปด้วยความสนใจจากสื่อมวลชนไทย หลังจากผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางได้นำตัวไปยัง บช.ก. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายจับในคดี ร่วมกันฟอกเงินจากเงินทอนวัด ซึ่งคดีนี้มีมูลค่าความเสียหายรวมหลายร้อยล้านบาท และถูกกล่าวหาว่ามีข้าราชการระดับสูงในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) รวมถึงพระผู้ใหญ่หลายรูปมีส่วนเกี่ยวข้อง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 คดีนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อวงการศาสนาไทย เป็นครั้งแรกที่ประชาชนได้เห็นพระผู้ใหญ่หลายรูปต้องสละผ้าเหลืองกลางศาล เพราะต้องเผชิญหน้ากับหลักฐานทางการเงินที่บ่งชี้ถึงการมีส่วนร่วมในกระบวนการ “ทอนเงิน” ที่รัฐจัดสรรให้วัดต่าง ๆ นำไปใช้ในการบูรณะปฏิสังขรณ์หรือกิจกรรมทางศาสนา โดยพระบางรูปกลับสมรู้ร่วมคิดกับข้าราชการให้คืนเงินบางส่วนกลับไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตน สะเทือนศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อพุทธศาสนาอย่างรุนแรง

สำหรับ พระพรหมเมธี นั้น ถือเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มีบทบาทโดดเด่นในวงการคณะสงฆ์ไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าคณะภาค 4-5-6-7 (ธรรมยุต) และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ วัดเก่าแก่สำคัญกลางกรุงเทพฯ มีลูกศิษย์จำนวนมากทั้งในแวดวงการเมือง ธุรกิจ และผู้ศรัทธาทั่วไป แต่จากพระผู้ใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล กลับต้องตกอยู่ในสถานะผู้ต้องหาหลบหนีคดีนานถึง 7 ปีเต็มในเยอรมนี ก่อนตัดสินใจเดินทางกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง

แม้จะกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่การกลับมาครั้งนี้ของอดีตพระพรหมเมธีไม่ได้ถูกจับทันที เจ้าตัวได้รับ การประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน ด้วยวงเงิน 400,000 บาท โดยไม่กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมแต่อย่างใด ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมตั้งคำถามว่าเป็นการปฏิบัติที่เหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความรุนแรงของข้อกล่าวหาในคดีนี้

อดีตพระพรหมเมธีได้แจ้งความประสงค์ขอให้การในรูปแบบลายลักษณ์อักษร และรับปากว่าจะยื่นคำให้การโดยเร็วที่สุด แม้ยังไม่ระบุวันแน่ชัด แต่เจ้าหน้าที่ก็ได้บันทึกคำยืนยันไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนบรรยากาศรอบกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในช่วงบ่าย มีรายงานว่ามีรถตู้ราว 4-5 คันเข้ามารับอดีตพระพรหมเมธีพร้อมผู้ติดตาม แต่งกายด้วยชุดสูทสีสุภาพ ขึ้นรถและออกไปโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อ

ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยลำพัง เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผู้อำนวยการ พศ. ที่หลบหนีคดีเดียวกันในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ถูกจับกุมและอยู่ระหว่างการประสานส่งตัวกลับไทยเช่นกัน กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ “มหากาพย์เงินทอนวัด” เริ่มถูกคลี่คลายอีกครั้ง

จากมุมมองของผู้เขียนในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่เฝ้าติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิด สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ ความจริงที่ว่า การนำหลักธรรมคำสอนมาแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนนั้นไม่เคยยั่งยืน ศาสนาเป็นเรื่องของศรัทธา ความโปร่งใส และความบริสุทธิ์ใจ หากผู้ที่มีหน้าที่รักษาแก่นแท้ของพระธรรมกลับใช้บทบาทนั้นเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ ก็ย่อมได้รับผลกรรมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

และหากถามว่า เหตุการณ์นี้สอนอะไรสังคมไทย? ผู้เขียนขอสรุปชัด ๆ ว่า ความศรัทธาต้องมาคู่กับการตรวจสอบ เพราะศาสนาไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์ หากแต่คือหลักแห่งความจริงที่ต้องสะท้อนความถูกต้องเสมอ ผู้ศรัทธาควรตั้งคำถาม และสังคมควรใช้บทเรียนนี้เป็นโอกาสฟื้นฟูคุณค่าแท้จริงของพุทธศาสนาให้กลับมาอย่างบริสุทธิ์อีกครั้ง

อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยศรัทธาตาบอด และกรณีของ พระพรหมเมธี อาจกลายเป็นเครื่องเตือนใจให้พุทธศาสนิกชนไทยตั้งสติและรู้เท่าทันโลกมากขึ้น ไม่ให้ใครฉวยโอกาสบนหลังคำว่า “ศาสนา” อีกต่อไป

ติดตาม ข่าวกระแสมาแรง ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา เรารวบรวมทุกประเด็นร้อน สดใหม่ และมีมุมมองที่แตกต่าง เพื่อให้คุณไม่พลาดทุกจังหวะสำคัญของสังคมไทย

ตรวจหวย 24 ชั่วโมง หวยลาว หวยฮานอย

แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา