
วันที่ 28 มิถุนายน 2568 พื้นที่บริเวณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กลายเป็นจุดศูนย์กลางของปรากฏการณ์ทางสังคมครั้งใหญ่ เมื่อกลุ่มมวลชนที่เรียกตัวเองว่า “รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย” รวมตัวจัดการ ชุมนุมใหญ่ 28 มิถุนายน อย่างคึกคัก พร้อมประกาศจุดยืน “ปกป้องแผ่นดินไทยจากอิทธิพลต่างชาติ” และส่งเสียงกึกก้อง “นายกลาออก” ท่ามกลางฝนที่ตกกระหน่ำและกระแสสังคมที่ร้อนแรงยิ่งกว่าสภาพอากาศ
ตั้งแต่ช่วงบ่าย 13.00 น. มวลชนทะลักเต็มพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ชัยฯ จนต้องปิดการจราจรบางส่วน ขณะที่ด้านบน Skywalk แน่นขนัดไปด้วยประชาชนที่ขึ้นไปหลบแดดร้อนจัด พลังศรัทธาและอุดมการณ์รักชาติเชื่อมต่อกันด้วย ผืนธงชาติไทย ขนาดใหญ่ที่ถูกขึงรอบพื้นที่จากมือสู่มือ เป็นภาพสะท้อนพลังความสามัคคีที่ตราตรึงใจ
แม้สภาพอากาศจะร้อนจัดและฝนตกเป็นระยะ แต่ไม่สามารถหยุดยั้งความมุ่งมั่นของกลุ่มผู้ชุมนุมได้ ประชาชนทยอยเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มีทั้งที่เดินทางด้วย รถไฟฟ้า BTS ซึ่งหนาแน่นถึงขั้นต้องเพิ่มช่องระบายผู้โดยสาร และบางกลุ่มเดินทางมาด้วยขบวน รถจักรยานยนต์แบบคาราวาน ตอกย้ำความพร้อมเพรียงในแบบที่ไม่ต้องมีใครสั่ง
บนเวที มีการผลัดเปลี่ยนแกนนำขึ้นปราศรัยเป็นระยะ สลับกับการแสดงดนตรีเพื่อสร้างบรรยากาศครื้นเครง โดยมีการจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เช่น โบกธงชาติ ตะโกนให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชายแดน และแสดงจุดยืน “ไม่เอาเขมร – ปกป้องประเทศไทย”
หนึ่งในไฮไลต์ที่ทำให้ทั้งเวทีสะเทือน คือการปรากฏตัวของ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผบช.ปส. ที่ขึ้นเวทีพร้อมประกาศว่า “ไม่ได้มาไล่ใคร ไม่ได้ยุ่งการเมือง แต่มาเพื่อให้เขมรรู้ว่า อย่ามาเสือกกับประเทศไทย” พร้อมย้ำว่า จุดยืนของเขาชัดเจน ไม่เชียร์ใคร ไม่ดันใคร แค่ต้องการปกป้องแผ่นดิน และขอเป็นกำลังใจให้ทหารที่เสียสละป้องกันชายแดนทุกคน
การ ชุมนุม 28 มิถุนายน ครั้งนี้ยังมีการตั้งข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการจากเวที 3 ข้อหลักคือ
- ให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
- ให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวทันที
- ให้มีการแสดงจุดยืนปกป้องอธิปไตยไทยจากอิทธิพลต่างชาติ
เสียงเรียกร้องที่ดังก้องไปทั่วอนุสาวรีย์ชัยฯ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะอารมณ์หรือความรู้สึกชั่ววูบ แต่เชื่อมโยงกับบริบทเชิงลึกอย่างกรณี คลิปเสียงหลุด ระหว่างผู้นำรัฐบาลไทยกับ “ฮุน เซน” ผู้นำกัมพูชา ที่สร้างความคลางแคลงใจในหมู่ประชาชนจำนวนไม่น้อยว่ากำลังมี “การเมืองต่างชาติ” แทรกแซงความมั่นคงภายใน
แม้แกนนำจะย้ำว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่ใช่การ “ล้มรัฐบาล” แต่ด้วยจำนวนผู้ร่วมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และน้ำเสียงจากเวทีที่แข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนว่าแนวโน้มจะบานปลายเป็นการเรียกร้องใหญ่หากไม่มีการตอบสนองจากรัฐบาล
ในด้านการดูแลความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ตำรวจ กระจายกำลังตรึงพื้นที่โดยรอบทั้งถนน ชั้นล่าง และ Skywalk พร้อมจัดจุดตรวจค้นอาวุธหลังพบผู้ชุมนุมบางรายพกมีดเข้าพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์ซ้ำรอยม็อบที่ผ่านมาซึ่งเคยลุกลาม
กรุงเทพมหานคร (กทม.) เองก็จัดเต็มเรื่องความปลอดภัยและอำนวยความสะดวก โดยส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจ จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ รถพยาบาล จุดปฐมพยาบาล พร้อมติดตั้ง ศูนย์บัญชาการกลางเชื่อมกล้อง CCTV ทุกระบบของรัฐและเอกชน รวมถึงโดรนมุมสูง เพื่อมองภาพรวมทั้งในแง่ความปลอดภัยและการจัดระเบียบ
สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้เนื้อหาการชุมนุมคือบทเรียนจากอดีตที่เกี่ยวพันกับพื้นที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพราะสถานที่นี้เคยเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวทางสังคมหลายครั้งตั้งแต่ยุค 14 ตุลาคม จนถึง พฤษภาทมิฬ โดยเฉพาะการใช้พื้นที่สาธารณะเป็นเวทีส่งเสียงสะท้อนความต้องการของประชาชน
หากพิจารณาจากการเมืองไทยในระยะหลังที่มีความขัดแย้งเชิงอำนาจสลับซับซ้อน พื้นที่ชุมนุมอย่าง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยังคงเป็น “สนามแสดงออกเชิงประชาธิปไตย” ที่มีพลังมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด และทุกฝ่ายต้องจับตาว่าข้อเรียกร้อง “นายกลาออก” ที่สะท้อนจากปลายไมค์วันนี้ จะได้รับคำตอบหรือไม่
จากนี้ไป ท่าทีของรัฐบาล พรรคร่วม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นตัวแปรสำคัญว่าเสียงประชาชนจะถูกเปลี่ยนเป็นนโยบายหรือจะกลายเป็นเชื้อไฟรอบใหม่ในสนามการเมืองไทย
ติดตาม ข่าวกระแสมาแรง สะเทือนทั้งประเทศ ได้ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา