สถานการณ์ล่าสุดของแบรนด์กาแฟยักษ์ใหญ่ เนสกาแฟ กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจาก ศาลแพ่งมีนบุรี มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ให้บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด หยุดการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปที่ใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” ภายในประเทศไทย ส่งผลสะเทือนต่อทั้งผู้บริโภค ร้านค้า และอุตสาหกรรมกาแฟในวงกว้าง
คำสั่งศาลดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการสิ้นสุดสัญญาร่วมทุนระหว่าง เนสท์เล่ และบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ โดยสัญญาระหว่างสองฝ่ายได้สิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หลังดำเนินกิจการร่วมกันมายาวนานกว่า 30 ปี
ภายหลังการยุติสัญญา เฉลิมชัย มหากิจศิริ หนึ่งในผู้ถือหุ้นของ QCP ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และศาลมีคำสั่งห้ามการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย โดยที่ทางเนสท์เล่ยังไม่ได้รับโอกาสเสนอข้อมูลต่อศาลก่อนมีคำสั่งดังกล่าว
แม้คำสั่งจะยังเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับไม่เล็กน้อย โดยทันทีหลังคำสั่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา เนสท์เล่ได้แจ้งต่อเครือข่ายร้านค้าปลีกว่าบริษัทจะไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ “เนสกาแฟ” ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ร้านค้าที่มีสต็อกคงเหลือยังสามารถจำหน่ายได้ตามปกติ
ผลกระทบจากคำสั่งศาลไม่ได้จำกัดเพียงบริษัทผู้ผลิตเท่านั้น แต่ยังขยายวงไปถึง ผู้ประกอบการรายย่อย เช่น ร้านกาแฟขนาดเล็ก รถเข็นกาแฟ และผู้ค้ารายวันที่พึ่งพากาแฟยี่ห้อนี้เป็นหลัก พวกเขาอาจต้องเปลี่ยนสูตรการชง ซึ่งกระทบต่อทั้งรสชาติที่ลูกค้าคุ้นเคยและรายได้ที่เคยมั่นคงในแต่ละวัน
ปัจจุบัน “กาแฟสำเร็จรูป” กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยอย่างแน่นแฟ้น ด้วยความสะดวกในการชง รสชาติที่พัฒนาให้ใกล้เคียงกับกาแฟสด และราคาที่เข้าถึงง่าย ทำให้แบรนด์ใหญ่ ๆ เช่น เนสกาแฟ มีฐานผู้บริโภคแน่นหนาในทุกภูมิภาคของประเทศ การหยุดจำหน่ายเพียงชั่วคราวจึงอาจสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ในทุกระดับ
ยิ่งไปกว่านั้น ซัพพลายเออร์ ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานของ “เนสกาแฟ” ก็เผชิญผลกระทบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ หรือแม้แต่ เกษตรกรโคนม ที่จัดส่งนมเป็นวัตถุดิบสำคัญให้กับผลิตภัณฑ์ในเครือของเนสกาแฟ อาจต้องหาช่องทางการตลาดใหม่อย่างเร่งด่วน
นอกจากการบริโภคในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีคนจำนวนมากที่สนใจ “ประโยชน์ของกาแฟ” ซึ่งมีผลต่อทั้งสุขภาพและความงาม เช่น ช่วยกระตุ้นสมอง ป้องกันโรคบางชนิด และเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย ซึ่งช่วยให้กาแฟยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในระยะยาว และเป็นหัวข้อที่ผู้อ่านสนใจตลอดปี
ขณะเดียวกัน กรมการค้าภายใน โดยนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมฯ ได้แถลงว่า แม้กาแฟจะไม่ใช่สินค้าควบคุมตามกฎหมาย แต่หน่วยงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบราคากาแฟในตลาด พบว่า ณ ปัจจุบันยังไม่มีการปรับขึ้นราคา และยังมีสินค้าจำหน่ายเพียงพอ โดยผู้ค้าปลีกจำนวนมากเริ่มนำกาแฟแบรนด์อื่นที่มีคุณภาพทัดเทียมเข้ามาจำหน่ายทดแทน
สถานการณ์นี้ยังเปิดโอกาสให้กับผู้ผลิตกาแฟรายอื่น โดยเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์จาก บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSSIA) มองว่าปัญหาของเนสกาแฟน่าจะเป็นผลบวกทางอ้อมต่อบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มกาแฟ เช่น CBG, SAPPE และ TACC แม้จะมีสัดส่วนรายได้จากกาแฟไม่สูง แต่การที่เนสกาแฟหายไปจากชั้นวางสินค้าอาจเปิดพื้นที่ให้แบรนด์รองขึ้นมาแข็งแกร่งได้ในระยะสั้นถึงกลาง
ขณะนี้ เนสท์เล่ (ไทย) ได้ดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาลและเตรียมเอกสารข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อชี้แจงต่อศาล โดยยืนยันสิทธิ์ในแบรนด์ “เนสกาแฟ” ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท และย้ำว่าการบริหาร การผลิต และการตลาดของเนสกาแฟในไทยที่ผ่านมาเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของเนสท์เล่ในฐานะเจ้าของแบรนด์
ทั้งนี้ หากผู้บริโภคกำลังมองหาทางเลือกในช่วงที่เนสกาแฟอาจขาดตลาด อาจทดลอง “กาแฟไม่มีน้ำตาล” หรือ “กาแฟดำยี่ห้ออื่น” ที่มีคุณภาพไม่แพ้กัน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและต้องการลดน้ำตาลในชีวิตประจำวัน นี่จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในระยะยาว
บทสรุปของเรื่องนี้จึงยังไม่จบง่าย ๆ เพราะหากศาลพิจารณาให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็อาจทำให้การผลิตเนสกาแฟกลับมาได้อีกครั้งในอนาคต แต่ระหว่างนี้ ตลาดกาแฟในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และทุกสายตากำลังจับจ้องว่าผลลัพธ์จะออกมาในทิศทางใด
ติดตามทุกข่าวร้อนทันเหตุการณ์ก่อนใครกับ ข่าวกระแสมาแรงบ้านกีฬา ศูนย์รวมข่าวตามกระแสที่เข้มข้น ครบทุกมุมมอง!
